เรื่องราวของ PEAK จากโปรเจกต์ที่ถูกยกเลิกสู่เกมที่ขายได้หลายล้านชุดบน Steam

แชร์เรื่องนี้:
เรื่องราวของ PEAK จากโปรเจกต์ที่ถูกยกเลิกสู่เกมที่ขายได้หลายล้านชุดบน Steam

เกมก่อนหน้าของพวกเขา Another Crab’s Treasure ซึ่งเป็นเกมแนว Souls-like ใต้ทะเล ถือเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสตูดิโอในปี 2019 แม้ว่าตัวเกมจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งนักวิจารณ์และผู้เล่น แต่มันก็ใช้เวลาสร้างถึงสามปี และทันทีที่โปรเจกต์นั้นเสร็จสิ้น พวกเขาก็ได้เริ่มสร้างเกมต้นแบบสำหรับโปรเจกต์ต่อไป ซึ่งก็คือภาคต่อของเกมแนว roguelike ปี 2020 อย่าง Going Under แต่ไม่กี่เดือนหลังจากการพัฒนา ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องทิศทางของเกมก็ทำให้โปรเจกต์ใหม่นี้ต้องสูญเสียเงินทุนสนับสนุนไป

สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อเกมต้นแบบไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างในแบบที่ทีมงานภูมิใจได้เลย ความรู้สึกติดขัดนี้ทำให้ทีมเริ่มรู้สึกไม่ดีกับการทำงานในเกมนี้ จนสุดท้าย Aggro Crab ก็ได้ตัดสินใจยกเลิกโปรเจกต์ดังกล่าว

แม้ในตอนนั้นอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ความล้มเหลวครั้งนี้อาจเป็นพรในร่างของคำสาป ในช่วงเวลาหลังจากนั้น สตูดิโอถูกผลักดันให้ต้องพิจารณาถึงลำดับความสำคัญและแนวทางสู่ความยั่งยืนของตนเองใหม่ทั้งหมด พวกเขาตัดสินใจที่จะเริ่มต้นจากอะไรเล็กๆ ทำอะไรที่สนุกและเรียบง่ายเพื่อจุดประกายไฟในการทำงานขึ้นมาอีกครั้ง ทีมงานได้นึกถึงเพื่อนของพวกเขาที่ Landfall Games และความสำเร็จล่าสุดจากเกม Content Warning ซึ่งเป็นผลมาจากการทำเกมอย่างรวดเร็วในหนึ่งเดือนระหว่างการไปทำงานที่เกาหลี Aggro Crab จึงได้เสนอไอเดียกับ Landfall ว่า: จะเป็นไปได้ไหมถ้าพวกเขาจะขอไปด้วยในครั้งหน้าที่สตูดิโอไปเกาหลี

คำตอบคือ 'ได้' Aggro Crab ตัดสินใจที่จะทุ่มเทเวลาหนึ่งเดือนเต็มในสไตล์ game-jam โดยมีเป้าหมายคือการสร้างเกมที่สามารถวางขายได้ในเวลาที่สั้นที่สุด

เว็บไซต์ Polygon ได้บอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังนี้ว่า สองสตูดิโอได้เช่า AirBnb ในเกาหลีและใช้เวลาในวันแรกไปกับการประกอบเฟอร์นิเจอร์จาก IKEA แต่ถึงแม้จะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อผ่อนคลาย พวกเขากลับทำงานกันอย่างหนัก 15-17 ชั่วโมงต่อวัน "กิจวัตรประจำวันของเราคือตื่นไปดื่มกาแฟ กลับมาทำงานจนถึงมื้อเที่ยง ออกไปหาอะไรกินและพูดคุยเรื่องเกม กลับมาทำงาน ไปทานอาหารเย็นและพูดคุยเรื่องเกมอีกครั้ง จากนั้นก็กลับมาทดสอบเกมและจดบันทึกสำหรับวันต่อไป" Galen Drew, ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ของ Aggro Crab กล่าวกับ Polygon

การทำงานที่รวดเร็วนี้เป็นไปได้ส่วนหนึ่งเพราะ Landfall มีประสบการณ์ในการสร้างเกม co-op multiplayer ขนาดใหญ่อยู่แล้ว แนวคิดของเกมได้พัฒนาจากเกมเอาชีวิตรอดในโลกกว้างมาเป็นเกมตลกที่กลุ่มลูกเสือต้องหลงทางอยู่บนเกาะ ชื่อเกม Peak ก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจระหว่างมื้อค่ำที่ร้านอิซากายะ

เมื่อครบหนึ่งเดือน สตูดิโอก็กลับบ้านและทำงานต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยเกม Peak ออกมาอย่างเรียบง่ายในวันที่ 16 มิถุนายน ด้วยราคาเพียง 8 ดอลลาร์ (ราคาไทยอยู่ที่ 159 บาท) โดยไม่มีการตลาดใหญ่โตเหมือนเกมก่อนหน้า และไม่มีใครคาดคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

Peak ขายได้หนึ่งล้านชุดในเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ และกลายเป็นกระแสไวรัลในหมู่ยูทูบเบอร์และสตรีมเมอร์ชื่อดัง ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากแค่การเป็นมีม แต่มาจากกลไกการปีนเขาที่ชาญฉลาดซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Breath of the Wild, การออกแบบตัวละครที่แสดงออกทางอารมณ์ได้ดี และรูปแบบการเล่นแบบ co-op ที่เปลี่ยนการปีนเขาให้กลายเป็นปริศนาเอาชีวิตรอดที่สนุกสนาน

ความสำเร็จนี้ยังมาพร้อมกับปัญหา เมื่อเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถรองรับจำนวนผู้เล่นมหาศาลได้ และแพตช์ที่ปล่อยออกมาเพื่อแก้ไขก็กลับทำให้เกมพังไปทั้งหมดก่อนจะถูกดึงกลับไป แต่กระแสความนิยมของ Peak ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดทีมงานที่แต่เดิมไม่ได้วางแผนจะสนับสนุนเกมนี้ต่อในระยะยาว ก็ได้ตัดสินใจที่จะเดินหน้าพัฒนาคอนเทนต์ใหม่ ๆ ต่อไป

น้อยกว่าหนึ่งเดือนหลังวางจำหน่าย Peak ได้ทำยอดขายไปแล้วถึง 4.5 ล้านชุด "แม้จะคำนึงถึงความแตกต่างของราคาและความจริงที่ว่า Another Crab’s Treasure อยู่บนคอนโซลด้วย แต่ Peak ก็ยังชนะขาด" Drew กล่าว "แถมเรายังไม่มีนักลงทุนมาหักส่วนแบ่งไปด้วย"

ที่มา Polygon

แชร์เรื่องนี้:
Badeedooboy
Badeedooboy

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง