Step แต่ละเลเวล
เกริ่นนำ
การมาถึงของ Path of Exile 3.26 Secrets of the Atlas เป็นดั่งอัปเดตใหญ่ที่หลายคนต่างรอคอย เนื่องจากทางทีมงานกำลังง่วนอยู่กับ Path of Exile 2 เพื่อให้ช่วงเปิดตัวเป็นไปได้ด้วยดี ทำให้การอัปเดตของภาค 1 ที่ต้องมีทุก ๆ 4 เดือนมีอันต้องติดขัด ต้องเล่นคอนเทนต์เดิมที่ปรับเปรียนเล็กน้อย ทำให้หลายคนเบื่อกันมาก ๆ ซึ่งการมาถึงของ Secrets of the Atlas เป็นดั่งเชื้อไฟที่ปลุกกล้ามขาเหล่าผู้เล่นให้กลับมาวิ่งอีกครั้ง และที่พิเศษไปกว่านั้นคือเนื้อหาการอัปเดตนั้นมันเยอะกว่า League ที่ผ่าน ๆ มาเสียอีก ใครอยากดูรายละเอียดสามารถอ่านได้ 'ตรงนี้' และหากใครพร้อมแล้ว ทางเราจะพา Exile ทุกท่านเดินทางสู่ดินแดนแห่งความอันตราย ในทวีป Wraeclast
สำหรับ Build Lightning Conduit Elementalist นี้มาจากช่อง Youtube Zizaran ที่ตัวผู้เขียนได้ทำการดูและเล่นตาม ดังนั้นรับประกันว่ามือใหม่ก็เล่นได้ ไม่ได้ใช้ของแพง วิ่ง Act ตั้งแต่ 1 - 10 ได้เลย โดยผู้เล่นจะเล่นเป็น Class Witch เพื่อปั้นตัวละครให้เป็นจอมเวทย์ที่ใช้พลังสายฟ้าเป็นหลัก มีความถึกระดับหนึ่งที่จะสามารถยืนรับดาเมจได้ เพราะตัว Skill ของเราจะมีวงที่ไม่ค่อยกว้าง อาจจะต้องเอาหน้าถูมอนสเตอร์ แต่ก็ทำให้กว้างได้ด้วยเงื่อนไขเล็กน้อย และถึงแม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่เรื่องดาเมจถือว่าแรง เร็ว ไม่ต้องใช้ Mana เยอะ ประกอบกับการที่เราจะมีการอัญเชิญผู้ช่วยที่มอบความสามารถเสริม นั่นทำให้มีความเก่งขึ้นไปอีกระดับ และสุดท้ายคือการเล่นคู่กับคอนเทนต์ใหม่ของ League Secrets of the Atlas ที่มีชื่ออีกชื่อว่า Mercenaries of Trarthus นี้ให้เป็นประโยชน์ นั่นคือการว่าจ้างเหล่า Mercenaries ที่ถึก ๆ มารับการโจมตีให้เรานั่นเอง

เลเวล 1 - 10
เริ่มต้นเกมมา จะไม่ได้บังคับว่าจะต้องใส่อะไรเป็นพิเศษ ขอแค่หาของมาใส่ให้ครบทั้งตัวก็เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อมีของพอประมาณแล้ว ผู้เขียนอยากให้เน้นชุดต่าง ๆ ให้มีสถานะไปทาง Armor (ค่าเกราะป้องกัน) และ Evasion Rating (ค่าสำหรับการหลบหลีก) ยกเว้นเพียงเสื้อเกราะที่จะมีสถานะ Evasion Rating และ Energy Shield (ค่าที่เป็นเหมือนเกราะที่ป้องกันชั่วคราว จะรับดาเมจก่อนถึงเลือด มีวันแตก แต่ก็ Recharge กลับมาได้) เพื่อให้มีอะไรรับดาเมจก่อนเลือดสักนิดนึง อาวุธที่ใช้จะเป็นไม้กายสิทธิ์ หรือ Wand ส่วนอีกข้างจะถือโล่ที่ชื่อ Spirit Shield เพราะส่วนมากจะเสริมด้านพลังเวทย์ (Increased Spell Damage) เป็นส่วนใหญ่

ด้านเข็มขัด เราจะใช้เข็มขัดที่มีใว้เพิ่มเลือดให้เยอะขึ้น เราจึงให้ใช้ Leather Belt ที่จะบวก Maximum Life ส่วนเครื่องประดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแหวนทั้ง 2 วงและสร้อยคอให้หาของที่มีความสามารถ Maximum Life กับต้านสถานะหรือเรียกอีกอย่างว่า Resistances ไว้ก่อน เพราะด้วยความที่เราเป็น Witch ซึ่งแน่นอนว่าตัวเราจะบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การมี Resistances นั้นจะทำให้เรามีโอกาศรอดมากขึ้น

ด้าน Skill เราจะใช้ Gem ที่ชื่อ Stormblast Mine เป็น Skill ดาเมจหลัก ใช้โดยการโยนระเบิดลงพื้น แล้วจะมีปุ่มให้กดเพื่อทำการระเบิด จากนั้นเสริม Gem Support ด้วย Swift Assembly ซึ่งทำให้โยนระเบิดออกได้มากขึ้น และ Added Lightning Damage ที่เพิ่มความเสียหายสายฟ้าลิงค์กัน 3 รู ส่วนอีก Skill Gem หนึ่งคือ Orb of Storms ทำหน้าที่สร้างสายฟ้าเป็นวงกลม เมื่อมี mob (มอนสเตอร์ต่าง ๆ ) เข้ามาในวง มันจะถูกสายฟ้าช็อต ลิงค์ด้วย Arcane Surge ที่ทำให้เพิ่ม Regen Mana กับทำให้ระยะเวลาร่ายสั้นลง และ Elemental Proliferation ที่ทำให้ระยะ Skill กว้างขึ้น ทั้งหมดเป็น 3 รู

ทั้ง Stormblast Mine และ Orb of Storms เอามาคอมโบกันด้วยการที่เราวาง Orb of Storms ก่อน ซึ่งถึงแม้สายฟ้าจาก Orb of Storms จะทำการช็อต Mob แต่มันจะค่อนข้างช้ามาก เพราะงั้นผู้เล่นจึงต้องขว้าง Stormblast Mine ภายในวงเพื่อให้ Orb of Storms ช็อตได้ถี่ขึ้นมาก ๆ แถมยัง Chain ไปยังตัวใกล้ ๆ นั่นหมายความว่า แม้รัศมีของวง Orb of Storms ค่อนข้างใกล้ แคบ แต่จริง ๆ แล้ว Mod จะอยู่ติดกันเป็นฝูง ทำให้สายฟ้าก็จะทำดาเมจและ Chain ตัวที่อยู่นอกวงไปเป็นระยะกว้างระดับหนึ่ง

และ Skill ที่เอาไว้เดินทางได้เร็วขึ้น หรือเอาไว้หลบการโจมตีอย่าง Frostblink ที่ทำดาเมจและทำให้ Mob ติดสถานะแช่แข็ง และขยับไม่ได้ (Freeze)

การอัปเลเวล
การอัปเลเวล 1 - 12 เราจะมีการอัป Skill Tree โดยเน้นไปที่เพิ่ม Spell Damage , Maximum Life , Maximum Mana , ป้องกันการ Stun เวลาร่าย Skill (Ignore stuns while casting) , Resistances และเพิ่มความเร็วในการร่าย (Increased Cast Speed)

เลเวล 12 - 16
ที่เลเวลนี้ไปจนจบเกม จะไม่ได้บอกเจอะจงว่าต้องใช้อุปกรณ์อะไรเป็นพิเศษนอกจาก Skill Gem และให้ยึดตามค่าของเสื้อผ้าก่อนหน้านี้ แต่เป็นของสวมใส่ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อมาถึงตรงนี้เราจะเปลี่ยน Skill Gem จาก Frostblink เป็น Flame Dash ที่จะพุ่งหลบได้ถึง 3 ครั้ง ในเวลาอันสั้น และยังสร้างไฟลุกเพื่อทำดาเมจเผา (Ignite) ตามทางที่เรากระโดดไปด้วย

เลเวล 16 - 24
พอเลเวลนี้จะมีการเพิ่ม Skill เข้ามาใช้เพิ่มเติมคือ Herald of Ice และ Herald of Thunder คือ Skill Aura หรือ Skill ที่เปิดไว้เฉย ๆ มันก็จะทำงานของมันเองแต่มันต้องจอง Mana เพื่อให้ถือว่ากำลังใช้งาน เช่น Mana ผู้เล่นมีอยู่ 100 โดยจองไป 50 แล้ว 50 ที่เหลือคือจะเอาไปใช้อะไรก็ได้ แต่จะไม่เพิ่มจนเต็ม 100 แม้จะมีการ Regen Mana โดยจะบวกดาเมจน้ำแข็งและสายฟ้าตามลำดับ ส่วน Wave of Conviction เป็นเหมือนคลื่นสึนามิสายฟ้า ซึ่งใช้สำหรับเคลียร์ Mob ระยะไกลขึ้นกว่าเดิม แต่จะใช้ในการดันไปข้างหน้าแทนการเคลียร์ Mob รอบตัว

การอัป Skill Tree ยังคงเพิ่มค่าสถานะต่าง ๆ แต่จะมีจุดที่สำคัญ คือ Node ที่ชื่อ Elemental Overload ที่เพิ่มความสามารถ เมื่อใช้สกิล ทำ Critical Strike (ติดคริติคอล) ได้ภายใน 8 วินาทีที่ผ่านมา
- สกิลนั้นจะได้รับ 40% increased Elemental Damage ทั้งจาก Hit (การโจมตี) และ Ailments (สถานะผิดปกติ เช่น Ignite ที่ได้ยกตัวอย่างไป )
- หมายความว่า เมื่อ Elemental Overload ถูกใช้งานกับทุกการโจมตีหรือสถานะภายใน 8 วินั้นจะทำดาเมจสายธาตุเพิ่มขึ้น 40%

เลเวล 24 - 28
สำหรับเลเวลต่อมาจะมีการเพิ่ม Skill Gem เข้ามาใช้อีก คือ Conductivity ที่ใช้สำหรับร่ายใส่ Mod เพื่อลดต้านไฟฟ้าในตัว Mod ส่วน Flame Dash จะลิงค์ด้วย Arcane Surge เป็น 2 รู

เลเวล 28 - 38 อัปเกรต Class
และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะเปลี่ยนไปใช้ Skill Gem ที่จะใช้ไปจนจบเนื้อเรื่องโดยเปลี่ยนจาก Stormblast Mine ไปเป็น Lightning Conduit ที่เป็นการเสกสายฟ้าให้ผ่าหัว แต่ต้องอยู่ในวงของ Orb of Storms ซึ่งก็ทำการ Chain เหมือนเดิมเลย ลิงค์ด้วย Support Gem 3 เม็ดคือ Added Lightning Damage , Elemental Focus และ Lightning Penetration ซึ่งก็เป็นตัวเพิ่มดาเมจเข้าไปอีก

Orb of Storms เชื่อมด้วย Elemental Proliferation ดังเดิม แต่อีกเม็ดเปลี่ยนเป็น Unbound Ailments เพื่อเพิ่มดาเมจจาก Mob ที่ติดสถาณะผิดปกติ พร้อมลิงค์กับ Support Gem ที่ชื่อ Chain Support เพื่อเพิ่มลูกหลงให้ Mod ตัวอื่นมากขึ้น เพิ่มเติมด้วย Skill ใหม่อย่าง Clarity มีไว้ Regen Mana ตัวเอง สุดท้ายกับ Skill Gem ที่เอาไว้อัญเชิญโกเลม ด้วย Summon Lightning Golem ซึ่งจะช่วยเราทำดาเมจ แถมยังเป็นตัวล่อการโจมตีได้ด้วย แม้จะไม่เสมอไป จากนั้นนำ Herald of Ice ออกไป มี Skill Gem เสริมเข้ามาเป็น Wrath ที่เป็นการบัฟเดเมจขึ้นไปได้อีกแทน

สำหรับเลเวลประมาณ 33 คงพร้อมกับการอัปเกรต Class จาก Witch สู่ Elementalist หรือผู้เชี่ยวชาญการใช้เวทย์มนต์ และเราจะได้แต้มเพื่อไปอัป Skill Tree ของ Elementalist แต่จะปลดล็อกได้ต้องเข้าสู่เมืองหลวงที่ชื่อ The Sarn Encampment ใน Act 3 เสียก่อน จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปด้านบน จะมีประตูที่จะพาไปยัง Aspirants' Plaza ซึ่งหน้าประตูจะมีวงกลม 6 วง ต้องมีวงสีเขียวครบ 6 วง ถึงจะไปต่อได้ โดยจุดต่าง ๆ จะเป็นเหมือนปริศนาเลื่อนคันโยก ซึ่งแต่ละจุดมีดังนี้:
Act 1 อยู่ใน Map
The Lower Prison
Act 2 อยู่ใน Map
- The Crypt Level 1
- The Chamber Of Sins Level 2
Act 3 อยู่ใน Map
- The Crematorium
- The Catacombs
- The Imperial Gardens

ปลดล็อกทั้งหมดเพื่อเดินทางไปยัง The Labyrinth ซึ่งจะเป็นเหมือนให้เราเดินทางผ่าน Map ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอ Boss ให้ต่อสู้ เมื่อเอาชนะแล้วเราจะได้ปลดล็อก Elementalist พร้อมแต้มอัป 2 แต้ม ซึ่งจะเอาไปอัป Node ที่ชื่อ Element Damage, Lightning Ailment Effect กับ Shaper of Storm ที่จะเพิ่มพลังสาบฟ้าในเราแบบฟรี ๆ


ที่สำคัญ เมื่อตัวละครถึงเลเวล 25 แล้วจะสามารถซื้อขายของกับผู้อื่นได้ เพราะงั้น ของอะไรที่ยังไม่มี หากมีเงินก็ใช้เงินแก้ปัญหาได้ครับ
การอัปเลเวล
การอัปเลเวล (25 - 45) ในช่วงนี้จะ Node มีที่สำคัญคือการทำให้ Mana พอใช้กับ Skill ต่าง ๆ ทั้งเสริมและหลัก เพราะ Skill Lightning Conduit มีระยะเวลาในการร่ายสั้นมาก เน้นใช้เรื่อย ๆ จึงเป็นอะไรที่น่าจะเปลือง Mana ซึ่งอย่างลืมว่าเราถูกหักจากการใช้ Skill Aura และด้วยเหตุนี้จึงมีการอัป Node ที่ชื่อ Mana Mastery ซึ่งจะทำการ Regen Mana 5 หน่วยต่อวินาที
การอัปเลเวล (25 - 45) จะมี Node ที่สำคัญหลัก ๆ คือ:
Life Mastery
- เพิ่มพลังชีวิตสูงสุด 15% ถ้า Body Armour ที่สวมใส่ ไม่มีม็อดที่เกี่ยวกับ Life เลย (คือไม่มีการบวกเลือดใด ๆ ทั้งสิ้น)
Lightning Mastery
- ติดสถานะ Shock อีก 15%

เลเวล 55 Cruel Lab
คราวนี้มีการเพิ่มลูกน้องอีก 3 Gem ด้วยกัน ทั้ง Summon Flame Golem, Summon Stone Golem และ Summon Chaos Golem ซึ่งมีความสามารถทำดาเมจธาตุตามชื่อเลย
ต่อมากับการลง The Labyrinth เพื่อรับแต้มมาอัปให้ Elementalist Tree อีกครั้ง ซึ่ง 2 แต้มนี้จะให้สำหรับอัปให้ Lightning Golem เพื่อให้เสกได้มากขึ้น มีดาเมจมากขึ้น และถึกมากขึ้น ซึ่งสามารถลง The Labyrinth ได้ตอนมีเลเวล 55 โดยจะนำไปอัป Node ที่ชื่อ Element Damage and Resistances และ Liege of The Primordial

โดยผู้เล่นจะต้องเปิดจุดวงเขียวอีก 3 จุดคือ:
Act 6
- The Lower Prison
Act 7
- The Crypt
- The Chamber Of Sins Level 2
แล้วก็ทำเหมือนเดิมทุกอย่างตามการปลด 2 แต้มแรกของ Elementalist
การอัปเลเวล
การอัปเลเวล (55) เราจะถอน Mana Mastery ที่ใช้ Regen 5 Mana ต่อวินาทีออกเพราะตอนนี้เราคงมีของเอาไว้เพิ่ม Mana เยอะแล้ว จึงเอาแต้มไปใส่ที่อื่นแทน

เลเวล 69 Cruel Lab - Maps
การอัปเลเวลตรงนี้จะมีจุดที่สำคัญชื่อ Mana Mastery ที่จะลงการจอง Mana ลง 12% เนื่องจากมีการเปิด Skill Aura หลาย Skill ( เช่น Herald of Ice และ Herald of Thunder)

ซึ่งนี่ก็คือทั้งหมดที่ตัวผู้เขียนได้เล่นตามทางของช่อง Youtube Zizaran ทำความเข้าใจและมาอธิบายให้ฟัง ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ แน่นอนว่าเป็น Build ที่ง่ายต่อการตาม ตั้งแต่สร้างตัวจนจบเนื้อเรื่อง มีความถึก แต่ก็ตายได้บ้างถ้าไม่ระวัง พร้อม Scaling ไปยัง Endgame Content ได้ และทั้งหมดนี้ก็คือแนวทางเล่น Build Lightning Conduit Elementalist สำหรับมือใหม่ที่สนใจอยากเล่น แต่ไม่กล้าเล่นเพราะเกมดูมันลึกเหลือเกิน ไม่ต้องกลัวเพราะเราจะดูแลผู้เล่นทุกคนให้ผ่านพ้นดินแดนอันป่าเถื่อน ทวีป Wraeclast อย่างปลอดภัยเอง ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม และการ Scaling ขึ้นไปอีกสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ 'ที่นี่'
ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจครับ