รีวิว Death Stranding 2 - การกลับมาที่สมบูรณ์แบบของอัจฉริยะหลุดกรอบ

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว Death Stranding 2 - การกลับมาที่สมบูรณ์แบบของอัจฉริยะหลุดกรอบ

Story - กาลเวลา, สายใย และการเชื่อมต่อที่ขยายจักรวาล (9.5)

กาลเวลา ความผูกพัน ความอบอุ่น และการเชื่อมต่อ หล่อเลี้ยงให้พ่อเลี้ยงลูกติดอย่าง BB-28 ที่ตอนนี้มีชื่อเป็นของตัวเองแล้วว่า Lou เจ้าหนูถูกลิขิตให้มาทำงานและตรวจจับมหาพญาผี BT ผลผลิตและความวายป่วงที่ก่อให้เกิด Void out เหตุอุบัติกลั่นสกัดมาจากการเกยทับระหว่างมิติของคนเป็นและคนตาย ที่กลายเป็นหมุดหมายของเหตุการณ์ Death Stranding อันเป็นกาลอุบาทว์ที่เปลี่ยนแปลงผู้ชายขนส่งคนหนึ่ง ให้กลายเป็นพวกย้อนกลับมาเกิดใหม่ได้ หรือ repatriate แต่นั่นมันกลับทำให้เขาต้องถูกพรากลูกในครรภ์พร้อมกับภรรยาอันเป็นที่รัก ทำให้เขากลายเป็นพวกหนีสังคมและอาการกลัวการถูกสัมผัสที่เคยรักษาบำบัดกับภรรยาส่งผลให้อาการสูญเสียและความผิดปกติในใจและกาย ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าหลังจากทริปการผจญภัย ค้นหาความจริงในคุณค่าและคำตอบที่ได้จากเจ้านาย คนที่เคยจะรัก พ่อของตน พร้อมกับท่องไปจากอดีตและปัจจุบัน ทำให้ดวงใจในอกเขากลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ยังรักและเชื่อมต่อกันไว้อยู่

และในครั้งนี้ กาลเวลาได้ล่วงผ่านไป เป็นเวลากว่า 11 เดือน พ่อลูกคู่นี้ได้หายตัวไปจากสารบบของ UCA – United Cities of America เหล่ากลุ่มเมือง America หรือต้องเรียกว่า ที่ยังหลงเหลืออยู่จากชาติลุงแซมได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ผ่านการเชื่อมระบบ Chiral Network เครือข่ายโทรคมนาคมที่สามารถรังสรรค์ของมาทดแทนคุณประโยชน์ จากการใช้สอยพลังจาก Beach และแร่ประหลาดอันกระจัดกระจายไปทั่ว UCA เชื่อมต่อผู้คนของอเมริกาให้เป็นหนึ่ง อันเป็นภารกิจหมายเลขหนึ่งของแซม จากปฏิบัติการณ์ครั้งที่แล้ว พระคุณตรงนี้ตอบแทนกี่ชาติก็ไม่หมด และแน่ชัดแล้วว่า แซมขอเลือกเป็นผู้ปิดทองหลังพระ และออกมาจากทีม UCA โดยไม่บอกกล่าวใคร และเช่นกัน หลังจากที่ผ่านไป 11 เดือน ทาง UCA จากกลุ่มเมืองต่างๆ ที่ยังมีลมร้อนอุ่นในอก ก็ได้เปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนการเลือกผู้นำของพวกเขา จากตำแหน่งพ่อเมืองหรือ President รับตำแหน่งด้วย Die-Hard Man ชายที่รัก Amelie แม่เมืองเก่าผู้เป็นดั่งผู้ริเริ่มแผนรวมอเมริกา และ Cliff Unger เจ้านายคนเก่าของตัวเองสุดหัวใจ ทั้งสองดวงใจของ Die-Hard Man ได้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญ ในการทำให้แซมรู้ความจริง และกู้เศษซากของอเมริกาแล้วเอามาเรียงร้อยให้เป็นแผ่นดินที่เขาอยู่คู่กับ Die-Hard Man

แต่สุดท้ายเขาย่อมได้รับผลกระทบจากพลวัตการเมือง เขาจำเป็นต้องลงจากตำแหน่งการเป็นหัวบ้านหัวเมือง และเปิดทางให้บุรุษที่ไม่ทราบหัวนอนปลายเท้า ไม่มีใครรู้ชื่อเสียงเรียงนาม รู้แค่ว่าเขาคือ The President เขาเป็นตัวแทนจากบริษัทแห่งหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญในการขนส่งอย่างสูง และนั่นแปลว่า เขาได้เข้ามาแทนที่การทำหน้าที่ของเหล่า UCA เช่นนั้นแล้ว เหล่าวิญญาณภายใต้บ้านกลุ่มใหญ่ ตั้งอยู่และอาศัยบน Chiral Network ทั่วอเมริกานั้น จึงได้ทำความรู้จักกับ APAS - Automatic Porter Assistant System พวกเขาทำหน้าที่ในการขนส่งให้กับมนุษย์และเอาเข้าจริงๆ ก็แทบจะมาแทนที่พวกพอร์เตอร์เดินทางจนเกินจะสมบูรณ์แบบ เช่นนั้นแล้ว การขนส่งจึงไม่จำเป็นในอเมริกาอีกต่อไป

นี่คือสังคมของอเมริกาที่กลายมาเป็นพื้นหลังของเกมใหม่ในครั้งนี้ และคราวนี้ก็ได้เวลาเบนเข็มไปหาพ่อพระที่หันหลังให้ผลงานที่ตนสร้าง และเลือกที่จะอยู่กับลูกน้อยเพียงลำพัง 11 เดือนที่ผ่านมานั้น ทั้งคู่ดูแลฟูมฟักจนลูน้อยๆ เกือบจะครบขวบ เป็นเด็กหน้าตาจิ้มลิ้ม อยู่ในเชลเตอร์ส่วนตัว บริเวณชายแดนเม็กซิโก รักเติมเต็มให้เขาไม่ต้องปรารถนาอะไรอีกต่อไป จนกระทั่งเพื่อนเก่าและสหายแก่ของเขาได้มาหาอีกครั้ง Fragile - สตรีที่ทำหน้าที่เป็นหัวหอกของบริษัทขนส่ง Fragile Express มีความสามารถอันเกิดมาจากความทุกข์ทรมานที่มีต่อโลกในยามนี้คือ DOOMS อาการผิดปกติที่ไม่ต่างไปจากแซม เพียงแต่สำหรับเธอนั้น เธอสามารถข้ามมิติไปที่ใดที่หนึ่งได้ตลอดเวลา Fragile เคยอยู่ภายใต้ UCA นางได้ล้างมลทินในสิ่งเปื้อนสันดานที่พี่ชายเธอได้ทิ้งเอาไว้ นั่นคือการที่คิดบ้าอะไรก็ไม่รู้ หันเหไปเข้าหากับพวกนักก่อการร้ายและทำให้เขามีพลังร้ายกาจไม่ต่างจากน้องสาว เพียงแต่เขาหมายชีวิตประชาชนตาดำๆ ต้องขอบคุณความพยายามของเธอทำให้ผู้คนเชื่อมั่น Fragile Express อีกครั้งและยังคงเป็นมือไม้ขนของให้กับผู้คนทั่วไปและปราบ Higgs ลงได้สำเร็จ

11 เดือนที่หายไป จนมาถึงตอนนี้ เธอมีแผนบางอย่างมามอบให้แซมในการเชื่อมต่อให้เม็กซิโกอยู่ในเครือข่ายของ Chiral Network อีกครั้ง เพราะเมืองทางใต้ ไล่ไปตั้งแต่ที่พักของแซมนั้น ตกระกำลำบากจากการขาดแคลนของใช้หยูกยาและของใช้ทั่วไป แถมยังต้องแปดเปื้อน Chiral ไม่ก็มี BT อยู่ทุกที่ หรือแย่ที่สุด พวกศัตรูแบบมนุษย์ แต่ Fragile นั้น ไม่สามารถขนส่งแบบธรรมดาทั่วไปอีกต่อไปได้แล้ว เป็นเพราะอาการ Jumpshock กระนั้นอาการผิดปกติของเธอตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะ Death Stranding ยังคงอยู่ในอากาศ ด้วยภาวะบีบรั้งจากบ้านเกิด และยังมองเห็นคนที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ เธอได้ยุบ Fragile ลงและได้ก่อตั้ง Drawbridge ที่เอาเข้าจริงๆ Drawbridge ก็ได้รับการสนับสนุนอยู่ไกลๆ จาก UCA เธอได้มาขอร้องให้ Sam พิจารณา ในการออกเดินทางเชื่อมต่อผู้คนจากเม็กซิโกให้ได้อยู่กับอเมริกาอีกครั้ง หนึ่งในการโน้มน้าวคือ Deadman ที่ออกจาก UCA และไปวิจัยค้นคว้าบางอย่างที่เม็กซิโก แซมเมื่อเห็นปัจจัยที่น่าสงสารเช่นนั้น ในนามพระผู้มาโปรดอย่างไม่เต็มใจของเขา ก็ได้กลับมา เขาได้ฝากฝังให้ Fragile ดูแลลูกน้อยไว้ข้างหลังให้หน่อย เพราะมันจะผิดธรรมชาติในความเป็นพ่อ ถ้าจะให้ลูกรักไปเสี่ยงอันตราย กระบวนการยังคงเหมือนเดิม ไปหาเหล่า shelter ที่ต้องการความช่วยเหลือ และช่วยต่อพวกเขาด้วย Q-pid รุ่นใหม่ จากการ Go west ของ Sam กลายเป็นการ Go south ในการเดินทางครั้งใหม่

ก่อนจะชื่นชมในส่วนของเนื้อเรื่อง ผมต้องชมในส่วนของการรีแคปให้กับผู้เล่นที่ไม่เคยสัมผัสภาคแรกมาก่อน ให้ดูเข้าใจง่าย พร้อมกันนี้ ก็จะมีในส่วนของ Corpus ที่จะทำหน้าที่สรุปเรื่องราวตามความก้าวหน้าที่ผู้เล่นเล่นถึง และค่อยๆ มอบจุดคลายปมให้กับผู้เล่นไปเรื่อยๆ และเมื่อมันสมบูรณ์ ผู้เล่นก็สามารถย้อนกลับมาอ่านเวอร์ชันสมบูรณ์พร้อมกับจดจำสิ่งที่ประจักษ์มาก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี เนื้อเรื่องในครั้งนี้ ร้อยเรียงผ่านการสร้างปมในอดีตให้มีน้ำหนักจนยากที่จะเดินผ่านตามสไตล์โคจิม่า มันยังแข็งแกร่ง แข็งแรง อยู่ในเกมนี้ พื้นซ่อนและพื้นที่แสดงยังเป็นไม้เด็ดไม้ถนัดของโคจิม่าที่ใช้เพื่อสร้างฉากให้ผู้คนเชื่อกับสิ่งที่ตาเห็นเสมอมา

ในภาคนี้ มีการขยายจักรวาลและอดีตของตัวละครแต่ละคน ทั้งใหม่และเก่า ในแง่ของตัวละครเก่านั้น จะเลือกใช้ UCA พื้นหลังและความทุกข์ทรมานให้กับพวกเขาและเธอ แต่สำหรับตัวละครใหม่ จะมอบความสูญเสียในฐานะผู้ที่มีเงื่อนไขและพลังของ DOOMS แล้วร่วมหัวจมท้ายจนได้มาเจอกับ Fragile และได้ร่วมเดินทาง

เธอและ Sam ในยานสำรวจ Magellan ตลอดการเดินทาง ผู้เล่นจะรู้ว่าทุกคนในยานลำนี้ ซึ่งสำหรับผู้ที่อยู่นอกยาน ผู้เล่นจะได้เห็นสวนสัตว์มนุษย์ว่าวิญญาณเหล่านั้นจะต้องเสียอะไรไปบ้าง ซึ่งเป็นการเล่นกับธีมหลักของเกมคือ “เราควรเชื่อมต่อกันจริงๆหรือ?” คอนเซปต์นี้ชัดเจนและฟ้องความรู้สึกผิด ความรวดร้าวใจที่ได้รู้ แต่ลึกๆ ก็ต้องฝ่ากวากหนามเพื่อทำให้ใจสงบลง อีกหมื่นฉากสำหรับตัวละครบางตัว ก็จะต้องเรียนรู้ที่จะทำใจให้ได้ กับการจากไปของคนสนิททั้งจากในและนอกยาน มิเช่นนั้นมันก็จะเป็นตรวน กังขาให้พวกเขาไม่มีทางเป็นอิสระตลอดไป แน่นอนว่าสำหรับเนื้อเรื่องในภาคนี้ โคจิม่าก็ยังเลือกที่จะไม่ใจดีกับใครทั้งสิ้น จนกว่าจะถึงเวลาพล็อตอาร์เมอร์ทำงาน ก็นับว่าเป็นเนื้อหาตามสไตล์โคจิม่ามากๆ แต่จุดหนึ่งที่รู้สึกเสียดายไปนิดๆ คือการทำให้เรารู้สึกคล้อยตามเหล่า prepper ในภาคนี้ทำได้น้อยมากๆ อย่างในภาคที่แล้ว เราจำเป็นจะต้องแบกสังขารบรรทุกเครื่องทำคลอดระยะไกลไปให้ครอบครัวท้องแก่บนภูเขา ผู้เล่นจะรู้สึกถึงความจำเป็น และความแข่งกับความเป็นความตาย จนลืมอุปสรรค และเรื่องลำบากที่อยู่ตรงหน้า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะชีวิตมนุษย์ทำให้รู้สึกพิเศษ ในภาคนี้อาจจะด้อยไปหน่อย กระนั้นถ้าวัดจากมาตรฐานในการเล่าเรื่องจากบุคคลภายในนับว่ายังไว้ลายได้เสมอ อีกอย่างนั้น ผมโดนหลอกเต็มเปา ผมคิดว่าผมเข้าใจกฎและชีววิทยาของเกมนี้อยู่บ้าง แต่ท้องเรื่องและโคจิม่าเป็นจอมจักรวาลของท้องเรื่องนี้ ก็ยังหามุมให้ผมใจตกลงเท้า หรือตะลึงงันไปกับเงื่อนไขที่เขาสร้างได้เสมอ แล้วก็ไม่ต้องกังวลนะครับ บทพูดในเกมนี้ อย่างน้อยๆ ก็ลดความจั๊กจี้

Gameplay - การขัดเกลาสู่ 'Social Strand' ที่สมบูรณ์แบบ (9.5)

ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะกล่าวว่า โคจิม่าสามารถปรับความเป็นเกมขนส่งได้เหมาะสมและกลายร่างเป็นเกมแนว Social Strand ได้ครบถ้วน และกลายเป็นเกมแนวของเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว ทีมงานได้ปรับ จับเอาของดีจากภาคที่แล้วดึงเอาจุดเด่นที่แข็งแรงมาชูให้สนุกขึ้น และอะไรที่ไม่ใช่ เจ้าตัวก็ตัดออกไป อย่างแรกเลย สำหรับการเป็นเกมส่งของ ทีมงานได้มีการปรับตั้งค่าหน้าเมนูใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะหน้าเมนูเส้นนำทาง ที่ภาคที่แล้วโดนวิจารณ์อย่างหนักว่าดูไม่รู้เรื่อง

มาในภาคนี้ แต่ละจุดสามารถวาดและปะติดปะต่อเส้นทางได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งบนหน้าเมนูจะมีการบ่งบอกว่า อุปสรรคและศัตรูที่จะได้เจอในระหว่างทางจะมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะการบ่งบอกถึงความต่างระดับของพื้นที่ ที่โคตรเป็นประโยชน์ ผู้เล่นจะรู้ได้ทันทีว่าเส้นทางที่กำลังเผชิญหน้ากับอะไร ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทั้งภายในหรือภายนอก นั่นทำให้การเตรียมตัว และการเตรียมข้าวของ หรืออุปกรณ์ใช้สอยสำคัญและเป็นรูปธรรมมากขึ้น แล้วอีกอย่างนั้น ระบบมาร์เกอร์ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย อีกอย่าง เส้นนำเส้นทางจากมาร์เกอร์ก็จะมีแสงส่องขึ้นมา ให้รู้ว่าทิศทางไหนควรจะไป ไม่รู้สึกซื่อบื้อเวลาที่ Marker มันถมเต็มแผนที่ไปหมด แต่ถึงกระนั้น หากผู้เล่นจะเล่นแบบไม่เตรียมอะไร แล้วไปตายเอาดาบหน้า หาบันได หาที่ปีนเองก็ได้เหมือนกัน เรื่องของเมนูยังไม่จบแค่นี้แน่นอน

เมนูนั้น นอกจากจะบ่งบอกถึงงานและแผนที่ที่ต้องทำ ก็ยังมีการเพิ่มเกมเพลย์ที่เริ่มต้นจากหน้านี้ หากตัดของสองอย่างที่ใช้ในการเล่นที่ปรากฏมาจากภาคแรกแล้ว อย่าง Cargo Management และ Aid Request ที่ติดไว้สักครู่นึง ตัวเกมมีการแนะนำ Social Strand Service ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนสื่อสังคมออนไลน์ ให้เหล่าตัวละครในเกมได้สามารถอัปเดตสถานการณ์และบ่งบอกว่าสิ่งที่ผู้เล่นได้กระทำลงไปช่วยเหลืออะไรไปบ้าง อีกทั้งยังเป็นการควบรวบหน้าต่างความสัมพันธ์ของเหล่าผู้ที่อยู่ใน shelter ว่าพวกเขาสนิทกับผู้เล่นในระดับกี่ดาว นอกจากนี้ยังมีหน้าเมนูรูปถ่าย ที่นอกจากจะยกภาพสวยๆ ที่ถ่ายมาได้มาให้อวดกันแล้ว ยังบอกด้วยว่าผู้เล่นถ่ายภาพนี้มาจากที่ไหน และตบท้ายด้วยระบบที่ดึงมาจากภาคแรกคือ Bridge Link ที่ใช้เพื่อบ่งบอกว่าเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่นไปมากน้อยแค่ไหน และมีใครบ้างที่ผู้เล่นได้เคยเชื่อมสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการส่ง Lost cargo หรือคนที่โผล่มาช่วยในการต่อสู้กับ BT

ต่อมานั้นคือ APAS Enhancement มันจะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยให้ผู้เล่นสามารถมีทักษะอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น ใช้แบตเตอรี่น้อยลง หรือสกิลเกี่ยวกับการลอบเร้น โดยความสามารถทั้งหลายสามารถเลือกด้วยผ่านค่า memory หรือแต้มสกิล ที่ได้จากการทำงานต่างๆ และตัวเลือกทั้งหลายจะเพิ่มมาให้ผู้เล่นเรื่อยๆ ตามค่า network bandwidth ที่จะเพิ่มขึ้นจากความสนิทของผู้คนแต่ละ shelter ที่เราไปช่วย ช่วยมาก bandwidth ก็จะเพิ่ม ทำให้ผู้เล่นสามารถปลดล็อกความสามารถเพิ่มเติม อีกทั้งในเหล่าความสามารถบางอย่างที่ทำงานเป็นแบบพาสซีฟ เช่น ไปอยู่ในเครื่องยิงคาร์โก้ได้ หรืออะไรแปลกๆ นั่นอาจจะมาจากความก้าวหน้าของเกมและความก้าวหน้าของแรงค์ผู้เล่น อีกอย่าง มันจะเป็นการเชิญชวนให้ผู้เล่นหันกลับมาทำเควสต์ หรือคำขอร้องใดๆ เพิ่มเติมหลังจากจบเกมเสมอ

เออ ในเกมนี้มีฟังก์ชันใหม่คือ Aid Request มันคือคำขอเล็กๆ น้อยๆ จากเหล่าเชลเตอร์ เป็นเควสต์ให้ไปสร้างโน่น เอาอันนี้มาให้หน่อย เป็นประโยชน์ในการเพิ่ม bandwidth และเพิ่มความสนิท ทั้งนี้ในส่วนของผู้เล่นเอง ก็สามารถพบเจอกับคำขอพวกนี้ได้ และการช่วยเหลือพวกเขาก็เป็นการเชื่อมต่อไปในตัว และบางทีคนพวกนี้นี่แหละ ที่จะมาช่วยคุณตอนที่เจอกับ Beach thing

นอกจากทักษะที่ได้จากภายนอกแล้วเกมก็ได้เพิ่มทักษะภายในมาด้วย โดยจะแบ่งออกเป็น 6 หัวข้อ ได้แก่ Terrain Traversal ความชำนาญเดินทาง / Carrying Capacity ความสามารถในการบรรทุก / Endurance ความอึดหรือลดอัตราการใช้งาน Stamina / KO resistance อัตราการต้านทานการหมดสติ / Lung Capacity ความจุของปอด วัดความสามารถในการกลั้นหายใจ และ Strand Skill ความสามารถในการลอบเร้น แถมมาด้วยกับความสามารถและความถนัดของอาวุธแต่ละอย่างที่สามารถใช้งานได้ในเกม โดยค่าตอบแทนทั้งหลาย ก็เหมือนกับ 6 ค่าสถานะข้างต้น คือจะอยากให้เพิ่มค่าอะไร ก็ทำเงื่อนไขตามนั้น เช่นอยากใช้ลูกซองให้มันดีขึ้น ก็ใช้ลูกซองบ่อยๆ หรืออยากเพิ่มค่า stealth ก็จะต้องปราบศัตรูแบบไม่โดนพบเจอ

เมื่อเข้าหน้าเมนูหลัก ก็ออกสู่โลกกว้างกันบ้าง การเล่นในครั้งนี้ ผมขอรับประกันเลยว่า ถ้าเคยเล่นภาคแรกมาแล้ว ภาคนี้จะสนุกขึ้นกว่าเดิม เรื่องของการปีนป่ายในคราวนี้ มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเวลาที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก ผู้เล่นจะสัมผัสได้ถึงความเร็ว-ช้า ต่างกันตามน้ำหนัก และมุมไหนที่ผิดมนุษย์มากเกินไปก็จะปีนไม่ได้ และในกรณีที่อยู่ตรงขอบ ผู้เล่นจะสามารถ Step Off หรือกระโดดจากจุดต่างระดับได้ เพื่อป้องกันกรณีแบกของสูงเกินไปเมื่อกระโดดจะเสียหลักได้ง่าย และโลกกว้างใบนี้จะมีระบบเวลากลางวันกลางคืน เพิ่มปัจจัยที่แตกต่างกันออกไปสำหรับการรับรู้ของศัตรู แน่นอนว่า ในบาง shelter ก็อาจจะมีบทสนทนาถ้าหากผู้เล่นไปส่งของตอนกลางคืนด้วย แน่นอนว่าผู้เล่นยังสามารถใช้งานฟังก์ชันพยากรณ์อากาศได้เสมอ ซึ่งจะมีพื้นที่ชี้ชัดเลยว่าพื้นที่ตรงนั้นสภาพอากาศเป็นอย่างไร

เรื่องสุดท้ายสำหรับการเป็นโลกกว้าง ในเกมนี้มีภัยธรรมชาติและสภาพอากาศ มีผลต่อการเล่นที่จับต้องได้มากขึ้น เช่นก้อนหิมะถล่มบ้าง แผ่นดินไหวหรือ plate gate บ้าง แม่น้ำยกระดับสูงหรือเหือดแห้งบ้าง พายุทรายบ้าง ไฟป่าบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแผนที่ พอให้เป็นส่วนประกอบพิจารณาการเดินทาง ทั้งนี้ภัยธรรมชาติบางชนิด มีผลกระทบต่อสิ่งของที่ผู้เล่นสร้างไว้เกือบจะทั้งหมด อย่างในเทรลเลอร์เราจะเห็นแล้วว่า แม่น้ำเชี่ยวกราดสามารถพัดสะพานให้แตกหักได้ด้วย อีกอย่าง ในเกมนี้จะมีหน่วยงานทำหน้าที่เป็นที่หลบภัยสัตว์ ที่พวกเขานั้นจะร้องขอให้แซมคอยช่วยเหลือสัตว์ป่าที่หลุดไปตามธรรมชาติ จับพวกมันมาส่งให้พวกเขา จะเป็นเรื่องดี นอกจากจะได้ช่วยแล้ว เรายังได้เห็นเพื่อนร่วมโลกในเกมนี้เดินเล่นแถวๆ shelter ของพวกเขา แล้วก็นอกจากสัตว์ปกติ ในเกมก็ยังมีสัตว์ประหลาดอื่นๆ ด้วย ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับ “สเตรเลีย”

ต่อมาก็เข้าสู่สัดส่วนของอุปกรณ์และของใช้ไม้สอยต่างๆ เริ่มกันที่สิ่งปลูกสร้างนั้น ผู้เล่นก็ยังคงสามารถสร้างสรรพสิ่งได้ด้วย PCC ทั้งสองเลเวล ของเก่าๆ ที่เคยปรากฏในเกมหลักภาคแรกหรือใน Director's Cut ก็เข้ามาครบ ทั้ง Floating carrier, สารพัดปืน และสารพัดระเบิด แน่นอนว่าของสารพัดพวกนี้ สามารถปลดล็อกได้ตามความสนิทของผู้คนในเชลเตอร์ ยิ่งสนิทกับพวกเขามากเท่าไรก็ได้ของดี ของใหม่ หรืออาจจะเป็นของดั้งเดิมแต่เพิ่มเลเวล เพิ่มความสามารถ กระนั้นพวกของใช้ทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะมีประโยชน์เพิ่มเติมเข้ามาให้เซอร์ไพรส์ เช่น กล่องส่งของ ที่ภาคที่แล้วเอาไว้ฝากของหรือเก็บของ ภาคนี้สามารถใช้หลบภัยได้ด้วย กลไกและลูกเล่นอะไรพวกนี้มีให้เห็น และมันมาเพื่อตอบรับกับคุณประโยชน์มากขึ้น ดังนั้น ผมเชียร์ให้เล่นเกมนี้ช้าๆ ถ้ามีเควสต์อะไรช่วยเหลือชาวบ้านได้ ก็ลองช่วยให้เต็ม 5 ดาวก่อนแล้วดำเนินเนื้อเรื่องก็ไม่เลวนะครับ จะได้ไม่พลาดระเบิด EX แบบผม

แล้วก็มาถึงจุดที่ผมแทบจะไม่เผาผีกับภาคที่แล้ว คือ ยานพาหนะ ภาคสองนั้น ยานพาหนะทุกคันสามารถสัมผัสได้ถึงแรงเฉื่อย น้ำหนัก การเข้าโค้ง ที่มีเหตุผลและตรรกะของมัน ดีกว่าอย่างหลายขุม สามารถขับขี่ได้ง่าย แต่ก็ยังมีกลไกลูกเล่นเล็กน้อยในการเล่นกับแรงเฉื่อย เช่นเข้าโค้งบ้าง และบางทีอาจจะดริฟต์ได้ด้วย ทั้งนี้ ก็มีการออกแบบใหม่สำหรับ Trike หรือไอ้แมงกะไซสามล้อน่ะครับ กับรถยนต์ก็เช่นกัน สำหรับ Trike นั้น ผู้เล่นสามารถขับไปตามทางและเก็บสิ่งของที่ตกตามทางได้ด้วย ที่สำคัญสามารถเก็บแบตเตอรี่ได้เกินความจุชั่วคราว ถ้าหากชาร์จกับที่ชาร์จแบต lvl.3 ในภาคนี้ ทุกท่านสามารถแต่งรถได้ ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ตั้งแต่ปืน อาวุธบางประเภท และอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ อย่างเช่น sticky gun ที่เอาไว้จับสัมภาระที่ตกข้างทาง ซึ่งผมรับประกันเลยว่าหากติดตั้งได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น มันจะทำงานให้กับผู้เล่นได้อย่างดีเลิศเลยทีเดียว กระนั้น จะติดตั้งแต่งอะไรได้ ต้องเป็นรถตัวเองนะครับ

ในแง่ของยานพาหนะ ก็ต้องมีเส้นทางอื่นๆ ด้วย ก็มีถนนอยู่แล้วแหละ แต่ของใหม่ในคราวนี้คือ Monorail ที่สามารถขนบรรทุกของหนัก สามารถบรรทุกยานพาหนะกับผู้เล่นไปได้ กระนั้น อย่าลืม ผู้เล่นจะต้องช่วยกันสร้างราง monorail ซะด้วย ซึ่ง monorail บางจุดอาจจะเชื่อมต่อกับ mine หรือเหมือง ทำให้ผู้เล่นสามารถกักเก็บวัสดุสำหรับการก่อสร้างในจำนวนมากจากฟังก์ชันนี้ได้

โอเค ทุกคนพอจะเห็นภาพรวมแล้วว่าเกมมีอะไรให้เล่นบ้าง คราวนี้ได้เวลาพูดถึงการเล่น ผมขอรับประกันเลยว่า การเล่น การต่อสู้ การกระทำอะไรในเกมนี้ สนุก และตอบสนองกว่าภาคที่แล้วอย่างมหาศาล เรียกได้ว่าแก้ไขออกมาได้ดีเยี่ยม ราวกับเป็นคนละเกมเลย ความงกๆ เงิ่นๆ ลดน้อยลงมาก แต่ยังมีการกระทำบางอย่างที่อาจจะขัดหูขัดตาผู้เล่นสักเล็กน้อย แต่รับรองได้เลยว่าไม่รู้สึกต้วมเตี้ยมหรืออืดอาดเหมือนคราวก่อน ในเกมการต่อสู้และการเคลื่อนไหวมีการพัฒนาหลายจุด เช่นการกลิ้งหนีอันตราย หรือม้วนหน้า และการเคลื่อนไหวได้ผลประโยชน์มาจากไอเทมจำพวก exoskeleton เช่น ท่ากระโดดถีบ drop kick หรือ knee strike จะทำได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงเทคนิคต่างๆ ก็ด้วย ทั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการกดปุ่มใหม่บางส่วน ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจขึ้น

ทางด้านตัวของแซมนั้น ก็ยังคงใช้ระบบแถบพลังงานสามหลอด คือ เลือดกับค่าพลังงาน และค่าสติ ในกรณีถูกโจมตีแบบไม่ถึงตายหรือกลั้นหายใจ แต่ทีนี้อาวุธส่วนใหญ่ที่จะใช้สู้กับ BT ก็ไม่จำเป็นต้องดึงเลือดของแซมมาใช้แล้ว ทำให้การใช้ blood bag ไม่ทับซ้อน หรือต้องมาเอาของเก่าที่ใช้จนหมดออกมา และแซมนั้นสามารถกินหนอนที่อยู่ในเกมได้หลายชนิด ซึ่งหนอนแต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์ไม่เหมือนกัน ดังนั้น สำรวจหาหนอนมาใช้ให้ตรงเป้าหมายก็ดีมากๆ เลย มาในเรื่องของการต่อสู้กันบ้าง การต่อสู้ในเกมนี้สนุก ฉับพลันดี ซึ่งอาวุธนั้น หลักๆ จะเน้นไปที่การทำความเสียหายอยู่สามอย่างคือ ต่อมนุษย์ ต่อ BT และต่อเครื่องจักร ซึ่งกระสุนส่วนใหญ่ในเกมนี้จะเป็นกระสุนประเภท MP เสียส่วนใหญ่แม้กระทั่งเป็นเครื่องยิงลูกระเบิดหรือแม้อาวุธระยะประชิด จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเผลอฆ่ามนุษย์แล้วต้องไปไล่เผาศพ อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่าอาวุธบางประเภทก็ไม่ไว้หน้ามนุษย์

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องห่วงไป ในหน้าต่าง UI ของผู้เล่นในครั้งนี้ จะมีการบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าอาวุธที่ถืออยู่นี้มันทำความเสียหายอย่างไรและกับอะไรได้บ้าง แล้วก็อีกอย่าง ในหน้าต่าง UI ที่ว่ามานี้ ในฟังก์ชันอื่นๆ นับว่าช่วยเหลือการเล่นเป็นอย่างมากครับ โดยเฉพาะในฟังก์ชันของสัมภาระ ผู้เล่นสามารถกดปรับแต่งตำแหน่งสัมภาระอัตโนมัติได้หรือจัดการสัมภาระโดยไม่ต้องเข้าหน้าเมนูอีกต่อไป ทั้งนี้หน้าเมนูที่เหลือก็จะมี ปุ่มล่าง จะเป็นการใช้งานป้าย เข้าถึงได้ไว และแบ่งประเภทหมวดหมู่ชัดเจน และซ้ายก็จะเป็นเครื่องสวมใส่ทั้งหลาย

ศัตรูในคราวนี้ พวกเขาเหล่านี้ก็มีกลไกหลบหลีกการโจมตีและโอบล้อมที่ค่อนข้างจับต้องได้ในระดับหนึ่ง อันที่จริง AI มนุษย์เกมนี้มันอาจจะดูป้ำๆ เป๋อๆ ไปด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากโดนล้อมแล้วละก็ หนีลำบากเอาเรื่องเลยแหละ ทั้งนี้พวกศัตรูมนุษย์จะอยู่กันเป็นฝูงในลักษณะ outpost ซึ่ง outpost พวกนี้จะแสดงตัวเป็น Threat หรือภัย ทำให้เหล่า porter NPC จะไม่กล้าเดินทางผ่านที่แห่งนั้น ฉะนั้น เคลียร์ outpost พวกนี้เป็นกรรมดีนักแล เพิ่มเติม สำหรับในส่วนของ outpost ศัตรูนั้น ผู้เล่นสามารถใช้ watch tower เพื่อทำการสอดแนมว่ามีกองกำลังทั้งหมดกี่คน โดยประโยชน์จากการใช้ watch tower นั้น มันจะบอกเลยว่ามีประโยชน์มากๆ หากจำเป็นต้องต่อสู้ สานต่อจากการต่อสู้นั้น เกมพัฒนาระบบกลไกการลอบเร้นได้กระชับ และครบถ้วนภายในการกดปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่ม การ CQC เอ๊ย หมัดศัตรูด้วยเชือกนั้น ไม่จำเป็นต้องกดเลือกเชือกอีกต่อไปแล้ว สามารถลอบโจมตีศัตรูจากด้านหลังได้ทันที ทั้งนี้ก็ต้องระวังเรื่องเสียงที่ก่อและการกลั้นหายใจ แล้วก็เกมมีระบบ reflex เหมือน Metal Gear Solid V: The Phantom Pain เป๊ะๆ ใช่ ผมกล้ายืนยันนอนยันได้เลยว่านี่คือระบบที่จะกอบกู้สถานการณ์ได้ระดับหนึ่งเลย ถ้ารู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไรกับศัตรูที่บังเอิญมาเจอเราเข้า ท้ายสุดนี้ ศัตรูในเกมมีระยะการมองเห็นที่ค่อนข้างไกล ถ้าหากเทียบกับมาตรฐานของเกมลอบเร้นจากน้ำมือของโคจิม่า แต่สามารถแก้ทางด้วยลายพรางของชุด ที่จะปลดล็อกตามความก้าวหน้าของเกม เลือกให้ตรงกับพื้นหลังเป็นกำไรเห็นๆ

น่าสนใจตรงที่เกมนั้น อนุญาตให้ผู้เล่นใช้งานเจ้า Dollman คู่หูร่วมเดินทางด้วยการปาไปในที่โล่ง Dollman จะใช้แท็กตำแหน่ง หรือสำรวจบริเวณรอบข้าง เป็นเหมือน UAV ขนาดเล็กๆ และในเกมนี้สถานะ knock out แรงกว่า sleep นะครับ หากโจมตีศัตรูด้วยแก๊ส อย่าลืมทำให้สลบด้วยส้นเท้า ในเรื่องศัตรูนั้น ทั้งสองอย่างนั้นมีการปรับปรุงให้ศัตรูมีความตื่นเต้นในการสู้ และสำหรับ BT เอง ก็จะมีหลายประเภทศัตรูให้ได้พบเห็น โดยเฉพาะในพื้นที่ออสเตรเลียนี่มีลูกเล่นของ BT ใหม่มาให้ได้ตื่นเต้น ซึ่งการต่อสู้กับ BT นั้น เหล่าวิญญาณที่มาช่วยแซมก็จะมอบอาวุธ ยังคงมีอยู่ ที่น่าสนใจคือจะให้อาวุธตามความก้าวหน้าของผู้เล่น และของเล่นใหม่คือ Pokémon BT ครับ หรือมันก็คือ EX capture grenade มันคือการที่ผู้เล่นสามารถจับ BT มาใช้งานได้ด้วยนะครับ แต่อยู่ที่ไหน ใช้งานอย่างไร ไปหาเอาเอง แต่รับรองเลยว่าเซอร์ไพรส์แน่

พูดมาถึงขนาดนี้ ได้เวลาพักผ่อนในห้องส่วนตัวแล้ว ในสัดส่วนนี้ เกมจะมีสถานที่พักผ่อนอยู่สองประเภทคือ ห้องพักส่วนตัวทั่วไปใน distribution center ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกที่ครบและตีโจทย์แตกมาจาก Director's Cut แล้ว มี VR training ให้เราได้ทดลองซ้อมใช้งานอาวุธหรืออุปกรณ์และมีแบบทดสอบให้เล่นท้าทาย มีหนอนให้กิน มีชาให้ดื่ม ซึ่งระบบ stamina เพิ่มขึ้นชั่วคราว ก็ยังคงทำงานในจุดนี้ และผู้เล่นก็เข้าห้องน้ำ ซึ่งเกมตัดขั้นตอน รวบรัดการอุจจาระและปัสสาวะในขั้นตอนเดียวกัน เพราะว่าแซมไม่จำเป็นต้องเอาของเหลวจากร่างกายมาสู้กับผีอีกต่อไป ที่สำคัญสามารถอาบน้ำเพื่อทำให้สภาพของแซมยังคงหล่อเหลาเอาการ ทั้งนี้เกมก็จะมีอาการที่แซมได้ประสบกับสภาพอากาศข้างนอก โดยเฉพาะผิวไหม้แดดและหิมะกัด ผู้เล่นสามารถรักษาอาการดังกล่าวด้วยการอาบน้ำได้ ซึ่งอาการที่ว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไรทั้งสิ้นเลย แค่เป็นรายละเอียดให้รู้สึกอินไปกับมัน

อีกส่วนนั้นจะเป็นห้องพักบน DHV Magellan ยานหลักที่เป็นตัวดำเนินเรื่องราวทั้งหมดในเกม มีฟังก์ชันอะไรครบถ้วนเหมือนกัน และบางครั้งอาจจะมีเซอร์ไพรส์ หรือ easter egg ให้ได้ตุ้งแช่เหมือนกัน ซึ่งสัดส่วนของ DHV Magellan ในช่วงหลังจบเกม ก็จะเป็นตัวเลือกในการเล่นสนุกกับเกมนี้ เปิดกว้างอย่างคาดไม่ถึง โดยมันยังมีพื้นฐานเป็นเกมส่งของ

อีกสามสิ่งสุดท้าย สำหรับการเล่นนั้น เกมมีตัวเลือกถามคำถามนะครับ ไม่ใช่ตอบคำถาม มันจึงไม่มีผลอะไรมากมายกับเนื้อเรื่อง เป็นเหมือนกับทางเลือกให้ผู้เล่นได้รู้จักกับโลกและพื้นหลังของตัวละครนั้นได้มากขึ้น และอีกส่วนคือเกมมีบ่อน้ำพุร้อนที่มีกลไกและของเล่นให้พูดถึงอีกเพียบ และเรื่องสุดท้ายก็คือ Lou ที่กลไกก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ยิ่งรู้น้อย ยิ่งเจ็บน้อยครับ

ภาพใหญ่สำหรับการเล่นนั้น พิเศษ แปลกใหม่ และชวนให้ค้นหา แถมยังยังใช้ความแม่นยำของ DualSense ได้เป็นประโยชน์ทั้งการส่งเสียง การเดินทาง และลูกเล่นต่างๆ ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมนี้พิเศษและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนั่นทำให้โลกกว้างแห่งนี้มันสนุกที่ได้ลงไปสำรวจมากขึ้นเป็นหลายเท่า เกมเพลย์ที่ง่ายๆ แต่คิดมาเผื่อสำหรับทุกอย่างมันช่วยเพิ่มกิจกรรมให้ทำ หลังจากเล่นจบได้มากมาย ไม่ใช่แค่ว่าสักแต่ส่งของให้ได้ 5 ดาวแล้วก็ปัดตูดหนีหาเกมอื่นเล่น เพราะทุกก้าวย่าง ทุกงานที่ได้เจอ สักพักก็จะเจอของหาย สักพักก็เจอสัตว์ป่าที่เราสามารถจับได้ สักพักก็เจอกับสภาพอากาศ สักพักก็เจอกับคำขอช่วยเหลือ ความเป็นไปได้ในการพบเจอนั้นสูงมาก สูงจนรู้สึกว่ากิจกรรมในเกมมีเยอะมาก ผมจึงรับประกันได้เลยว่า การเล่นเกมนี้กว่าทุกท่านจะเล่นจนทุกอย่างในเกมจนกลายเป็น “เรื่องเดิมๆ” เนี่ยใช้เวลานานมาก

Performance - ผลงานระดับ Masterpiece บน Decima Engine (9.5)

ตลอดเกมการเล่นที่ผ่านมา 72 ชั่วโมงของผม ผมออกปากชมและเชิดชูเลยว่า เป็นเกมที่โหลดไวมาก ความไวระดับนี้ มันทำให้เครื่อง PlayStation 5 กลายเป็นเครื่องเกม Next-gen ในสายตาผมทันที คือจากที่เมื่อก่อนมันเป็นแค่ของประดับบ้าน อีกจุดที่ผมเชิดชูคือทุกคนสามารถเอาคำว่า “เกมหลุด” หรือ “เกมแครช” ออกจากสารบบสมองไปได้เลย เกมเสร็จ เกมเพียบพร้อม ผมไม่เจอเรื่องใดๆ หรือปัญหาที่รั้งความสนุกเลยแม้แต่จุดเดียว เกมเฉียบคม สบายตาที่ได้สมอง กราฟิกและเอฟเฟกต์แสง สวยสดงดงาม จนทำให้รู้สึกเลยว่าเกม next-gen เป็นอย่างไร มันดูคม ดูมีรายละเอียด คำว่าสุดลูกหูลูกตาไม่เกินจริง แม้ว่าบางทีวัตถุจะปรากฏปุบปับสำหรับทั้งสองโหมดภาพ หากวัดกันด้วยความเป็น Photorealism หรือสัจนิยมแบบภาพถ่าย ถ้าเอาภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ กว่านี้ก็การทำให้ภาพใกล้เคียงกับความเป็นจริงเนี่ย เกมนี้ผมให้ชนะขาด ทั้งสีหน้าท่าทาง หน้าตาตัวละคร รอยเหี่ยวย่น พื้นผิวหนัง เส้นขน อณูผิว ดวงตา พื้นผิววัตถุ เครื่องสำอาง ต้นไม้ใบเขียว ทุ่งหญ้า ลานทะเลทราย ไปจนถึงภูเขาสูงเสียดฟ้า ใดๆ ในเกมนี้ นับว่าเป็นการยกมาตรฐานในการสร้างภาพ

กระนั้น ถ้าหากมานั่งจ้องกันจริงๆ เกมจะมีจุดด่างพร้อยกับพื้นที่บางจุด ที่เรนเดอร์ด้วยความละเอียดต่ำในกรณีมองจากไกลๆ และแสงเชื่อมต่อวงจรกลางวันกลางคืนอาจจะดูหลุดโลกไปนิด และเอฟเฟกต์แสงจากที่ร่มสู่ที่แจ้งมันพิลึก แต่กระนั้น มันสวยงาม และผมเชื่อว่าโคจิม่าอยากคงธีมของเกม และรูปแบบของแสงสีที่เขาใช้ให้มันดูหลุดโลก เพ้อฝัน และฉาบฉวยฉับพลัน อันเป็นลายเซ็นที่แฝงอยู่ใน cinematography หรือลูกเล่นมุมภาพของเขา ไม่เชื่อผมใช่ไหม แค่ฉากเริ่มต้นของเกมก็เหลือจะกินแล้ว

เน้นย้ำกันอีกครั้งเรื่องของตัวละคร มันเป็นดาวเด่นจริงๆ ในหัวข้อนี้ ใบหน้าและพื้นผิวของตัวละครนั้นเป็นธรรมชาติมากๆ ในเกมนั้นจะมีฟังก์ชันกล้องถ่ายรูป ที่เหล่าตัวละครจะออกท่าทาง การเคลื่อนไหว มีการโพสท่าใดๆ ให้ได้เห็น ซึ่งจุดนี้นี่เองที่การขยับตัวออกท่าทางของพวกเขาและเธอเหล่านี้จะสัมพันธ์กับแสงและพื้นหลัง การมองภาพความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ภายใต้ฉากหลังที่โคตรจะไซไฟ น้ำดำกัดเหล็ก หินลอยฟ้า สายรุ้งกลับหัว ยิ่งทำให้มุมมองของภาพในเกมดูลึกลับแม้ว่าจะรู้เรื่องมาแล้วก็ตาม

แล้วด้วยคุณสมบัติที่ว่ามานี้ โหมดถ่ายรูปยกระดับด้วยฟังก์ชันง่ายๆ แต่ถูกใจผู้เล่นสายตากล้องแน่ๆ กับ Photomode ด้วยการเพิ่มฟังก์ชันแสง สร้างอารมณ์และน้ำหนักของวิญญาณด้วยการสาดลำแสงลงไปบนวัตถุ ที่ผมรับประกันได้เลยว่าต่อให้ไม่เป็นตากล้อง แต่ลองทำโน่นทำนี่ดูเมื่อไรแล้วละก็ จะรู้สึกว่าแสงกับวัตถุในเกมนี้สวยดูเป็นธรรมชาติ เพิ่มคุณค่าและยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผู้เล่นได้สัมผัสกับเวทมนตร์และภาพได้ง่ายขึ้นเป็นกอง และที่สำคัญเลยนั้นคือเรื่องของ Particle effect ที่อวดของกันก่อนจะวางจำหน่าย โดยเฉพาะฉากของ Neil Vana อณุภาคและการกระจัดของแสงกับวัตถุไปด้วยกันได้ราวกับงานศิลป์ และผมขอแนะนำ ถ้าหากมีเวลาว่างละก็ ลองเอาเฟรมสักเฟรมในคัตซีนไปหาสีเฉลี่ยเล่นๆ ท่านอาจจะได้เรฟเฟอเรนซ์ในแง่ของสีใหม่ไม่ยาก

ปีนี้มีเกม Claire Obscur: Expedition 33 ที่ขายงานภาพเน้นความหนักเบาด้วยแสงและเงาใช่ไหมครับ สำหรับ Death Stranding 2 เป็นเกมที่ขายความเป็นธรรมชาติของภาพได้อย่างทรงคุณค่าโดยไม่ต้องสงสัย ระยะของสี ความประณีตของแสงที่ถ่ายทอดออกมา แม้ว่าฉากที่ปรากฏตรงหน้ามันอาจจะเป็นภาพผิดปกติจากธรรมชาติ แต่มันยังคงมอบความละเอียดละออที่แผดออกมาโดยไม่เก้อเขินเรื่องของความจัดจ้านของสี ที่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับมัน และผมรับประกันความพึงพอใจกับเรื่องงานภาพแน่นอน ถ้าหากเปิดใช้งานหน้าจอที่มีระบบ HDR มันช่วยเพิ่มมิติและอรรถรสของความดำมืดของภาพอย่างน่าประทับใจ

เรื่องของกราฟิกยังไม่หมดแค่นี้ครับ ทุกท่านคิดว่าภาพสวย โคจิม่า โปรดักชั่น คงจะต้องเอาเทคโนโลยีภาพขั้นสุดมาประยุกต์ใช้ ใช่ไหม? ไม่เลย เกมนี้ไม่มีการใช้ Ray Tracing ที่เห็นด้วยทั้งสองตาของท่านนั้นคือขุมพลังทั้งหมดจาก Decima engine ล้วนๆ แถมมิวายมีฟังก์ชันสำหรับภาพรอบสูง หรือ prioritized performance ที่สามารถขับ FPS ไปอยู่ที่ 60 FPS นิ่งๆ ชี้และเน้นย้ำในความเป็นจ้าวเทคนิคภาพของทีมงาน ในด้านประสิทธิภาพนี้ ผมมีเรื่องให้ติแค่อย่างเดียวที่ยังไม่หายจริงๆ สำหรับระบบฟิสิกส์ที่ผิดปกติในบางจุด โดยเฉพาะเวลาตกจากที่สูงไม่มากและแลนดิ้งลงพื้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นภาพปกติจากภาคแรก แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับเกมมากนัก

ความแตกต่างของโหมดเน้น Performance ที่สัมผัสได้จริงๆ เวลาเปิดโหมดภาพเน้นรอบภาพนั้น จะมีการตัดเรื่องของเงากับแสงตกกระทบบนวัตถุ ทั้งในระยะไกลและใกล้ รวมถึงรายละเอียดของพื้นผิวจะลดความละเอียด โดยเฉพาะพื้นผิวของน้ำ ไม่ว่าจะเป็นผืนทะเลหรือน้ำพุร้อนที่ปรากฏในฉาก แต่ในภาพรวมยังพอที่จะมองข้ามได้ และคุณสมบัติไม่ว่าจะเป็นความเสถียรของกราฟิกก็สอบผ่าน รอบภาพไม่ค่อยพบเห็นอาการแกว่ง แต่อาจจะมีพื้นผิวบางจุดโผล่ๆ หายๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกต ก็ไม่รู้เลย ย้ำอีกครั้ง นี่คือประสบการณ์ที่ได้จากการเล่นบน PS5 แบบปกติ ไม่ต้องใช้อะไรเพิ่มมากเลย ควรค่าแก่การชื่นชมครับ

Sound Design - บทเพลงที่ขับเคลื่อนจิตวิญญาณ (9.5)

หัวข้อสุดท้ายที่ผมกลัวเป็นอย่างมากว่า Woodkid จะทำความเหงาแต่อบอุ่นเหมือนที่ Low Roar ทำได้ไหม เพราะ Woodkid นั้นเป็นศิลปินที่ขึ้นชื่อในความดุดันและขับเคลื่อนเสมอ สังเกตได้จาก trailer หลายตัวของเกม Assassin’s Creed ในอดีต และเพลงแรกที่หักพังทลายความกังวลผมทันที คือเพลง Minus Sixty One ของ Woodkid ได้ถูกเลือกใช้ตอนต้นเกมมันถูกที่ ถูกเวลาแถมมีลูกเล่นเฉพาะตอนต้นเกมเสียด้วย รวมไปถึงเสียงขับร้องของ Suginami Junior Chorus ที่ฝากผลงานไว้แล้วกับอนิเมชันของ Ghibli มอบความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ให้กับองค์ประกอบของท้องเรื่อง แถมมีลูกเล่นกับฝีเท้าที่จะเพิ่มจังหวะเพลงมาให้ เท่านั้นยังไม่พอ ผมรู้ได้ทันทีว่ามู้ดและโทนของการเดินทางในครั้งนี้จะทะยานพุ่งสู่ความใหญ่และกว้างแทน ซึ่งตอบสนองกับคำพูดของโคจิม่าที่ว่า “เกมภาคนี้ จะเน้น action เพิ่มขึ้น” แต่มันน่าฉงนตรงที่ความพุ่งทะยานตรงนี้ยังมีความลี้ลับ ยิ่งใหญ่ ที่ซ่อนไว้หลังฉาก เป็นกระดูกสันหลังของความพิศวงที่ภาคแรกหยิบยื่นให้ Woodkid ได้ตีโจทย์ของเพลงอื่นๆ ที่ใช้ประกอบฉากอย่างแตกละเอียด เข้าถึงจังหวะและการใช้อารมณ์เข้าสู้ อีกทั้งยังไม่ลืมการหยิบโมทีฟหรือจังหวะทำนองเอกของเพลงเก่ามาใช้ ตัวอย่างนี้ชัดเจนในเพลง Should We Have Connected? ที่มีทำนองเอกของ Clifford Unger จากภาคแรก ดนตรีเนื้อมวลใหญ่ๆ จะนำเสนอในสองลักษณะ คือเพลงป๊อปสไตล์ electronics มี synth ผสมลงเอยกับความเป็นดนตรีคลาสสิกแบบจ๋าๆ เลย ส่วนเจ้าของงานครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น Ludwig Göransson ที่เป็นมือปืนประจำตัวของเฮียโคจิม่ามาตั้งแต่ Metal Gear Solid V ทางด้านดนตรี electronic ผสม synth ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ไซไฟ ลึกลับ ยิ่งใหญ่

เช่น The Man on the Other Ends ในช่วงหนึ่งหากท่านฟังดีๆ อาจจะได้ยินเสียงกลองสังเคราะห์ที่ให้อารมณ์ของ Terminator ภาคแรก โดยยังมีมวลของดวงตาที่จับจ้องผู้เล่นไม่ห่างหายด้วยดนตรี ฉีกขาดของเสียง synth เพลงประจำตัวของ Higgs นั้น ก็ยังมีเค้าโครงของ Particle of God ในเรื่องของเสียงร้องแนบไว้ เพื่อเน้นย้ำถึงความขัดแย้งที่ตัวละครใช้ขับเคลื่อนและไม่ยอมตายมาจากภาคแรก แล้วก็มีการเพิ่มกีตาร์ไฟฟ้าจัดจ้าน สื่อถึงอาวุธที่เขาใช้ ในด้านของดนตรีส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะการเข้าใช้งาน Terminal เพลง Terminals ถูกใช้เพื่อสื่อถึงโลกกว้างและความคาดเดาไม่ได้ที่รออยู่ภายนอก แต่ยังมีลักษณะในกลิ่นอายของการผจญภัย ช่วยให้รู้สึกสดใหม่ทุกครั้งที่ต้องส่งของชิ้นไหนๆ และ Rainy ดนตรีประจำตัว นำเสนอและมอบความเย็นระรื่น จากปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติ จากความผิดสันดานความเป็นมนุษย์ของตัวเธอจนกลายเป็นสิ่งประหลาดที่ผู้คนหวาดกลัว และค่อยไล่ลำดับการขับเคลื่อนความอ้างว้างที่ไม่ลบหายออกไปได้จากการไม่มีทางได้เห็นลูกในท้อง

ดนตรีทุกชิ้นในเกมนี้ใช้เล่าเนื้อเรื่องแบบแทบจะในทันที ขนาดเพลงเก่าๆ อย่าง BB's Theme ยังมีถึง 3 รูปแบบ จากศิลปินขับร้องต่างกัน 3 คน ไม่มีสิ่งไหนถูกลืม ราวกับว่าทุกอย่างยังไม่ได้หนีหายไปไหน ภาพใหญ่ๆ นั้น Woodkid จะเป็นแนวหน้ามอบพลังของความอาวรณ์และความยิ่งใหญ่ตามสไตล์ที่ตัวเองถนัด พร้อมกันนี้ Ludwig Göransson ก็จะกระตุ้นและขับเคลื่อนในฉากต่างๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ระยะของแนวดนตรีในเกมนี้นับว่ากว้างขวางและกระจัดกระจายมากๆ โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกม แต่ด้วยการเลือกให้อยู่คู่กับตัวละครและฉากที่พอเหมาะพอควรแล้ว มันลงล็อกและแทบจะเป็นเนื้อเดียวฝังไปในสมองของผู้เล่น ในทีแรกๆ ที่ทุกท่านได้ฟังแนวเพลงกับฉากดังกล่าวอาจจะอุทานว่า “พี่ชายทำอะไรวะ” แต่พอหลุดจากภวังค์แล้ว เพลงมันก็ช่วยฟ้องว่าเกมมันมีการเล่ากับเพลงอย่างน่าประหลาด ประมาณว่า นี่แหละ เกมที่โคจิม่าทำก็จะประมาณนี้

ทางด้านเรื่องเสียงพากย์ ก็ยังคงเป็นของดี ที่เป็นมาตรฐานของ Kojima Productions มาช้านาน ตัวละครทุกตัวมอบความเป็นหนังมากกว่าเกมไปแล้ว ในภาคแรกได้มีตัวละครบางตัวที่ทำให้บทพูดมันจั๊กจี้เพราะความไม่คุ้นกับการลงเสียง แต่พอมาภาคนี้ ทุกอย่างดีเยี่ยม งดงามไปหมด และนักแสดงทุกคนก็ส่งพลังงานความรู้สึกได้ดีทุกตัว ผมแอบเสียดายที่เกมนี้เลือกที่จะตัดบทพูดของเหล่าศัตรู หรือเหล่า porter ที่เราเจอได้ในเกม และแทนที่ด้วยเสียงอุทานหรือเสียงปฏิกิริยาตามปกติ กลายเป็นว่าเราน่าจะได้รับรู้มุมมองของพวกเขาเหล่านั้น ส่วนเรื่องสุดท้ายคือเสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่มีอะไรให้ติเลยครับ อันนี้ไม่ได้พูดเพราะผมชอบโคจิม่า แต่ทุกอย่างที่เป็นเสียงประกอบต่างๆ รวมไปถึงเสียงหน้า UI นั้นมันกระชับ เท่ และเข้ากับบริบท ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน เสียงอาวุธ เสียงการใช้งานเครื่องมือต่างๆ ทีมงานเสียงของ Kojima Productions รู้ว่าทำอะไรแล้วถูกทาง ในคราวนี้พวกเขาเดิมพันกับสิ่งเหล่านั้น และมันตอบแทนอย่างดีเยี่ยม

คะแนนรีวิวแบบละเอียด

หมวดหมู่ หัวข้อย่อย คะแนน
Story (9.5/10) วิธีเล่าเรื่อง 10/10
ความเข้ากันกับเนื้อเรื่อง 10/10
Character Development 8/10
การเกลี่ยเนื้อเรื่อง (กรณีตัวละครเยอะ) 9/10
ความเป็นธรรมชาติของบทพูด 10/10
การแสดง/สีหน้า [Motion Cap] 10/10
Gameplay (9/10) Innovative (ระบบใหม่) 8/10
QoL 9/10
Core Gameplay 9/10
Content 10/10
Replayability 9/10
Level Design 10/10
Performance (9.5/10) คุณภาพของกราฟิก 10/10
ประสิทธิภาพในการแสดงผล 9/10
การออกแบบงานศิลป์ (Art Style) 10/10
บั๊ก 8/10
Sound Design (9.8/10) คุณภาพเสียงประกอบ (Music Score) 10/10
คุณภาพเสียงประกอบ (Effect) 10/10
เสียงพากย์ 9.5/10
Game Review Rating
เกือบสมบูรณ์แบบ ควรค่าแก่การเล่น

Death Stranding 2: On the Beach

9.4 / 10 คะแนน

PlayStation 5 คือเครื่องเกมที่ผมกล่าวได้เลยว่าเป็นเครื่องที่คุณค่าความน่าสนใจสำหรับผมต่ำมาก เพราะตลอดอายุขัยที่มันได้ออกมาเป็นหน้าตาของบ้านโซนี่ แทบจะหาเกมที่จำเป็นต้องซื้อมันมาเล่นน้อยเหลือเกิน น้อยจนน่าหัวเราะเยาะ ไม่ควรค่ากับความไฮป์ที่ทำให้ผู้คนเอาเงินไปโยนเล่นโครมคราม จนทำให้ผมรู้สึกว่าเครื่องคอนโซลไม่ว่าเครื่องไหนต่อจากนี้ก็เป็นเครื่องประดับทางสังคมอย่างเดียวเสียแล้วสิ จนกระทั่งการมาถึงของเกมนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า นี่แหละ คือ “must have” หรือเกมที่ต้องมีของเครื่องนั้นๆ และมันเพิ่มคุณค่า PlayStation 5 และคุณค่าความเป็นเกมขึ้นมาเป็นเท่าตัว พร้อมกันนี้ นี่ไม่ใช่ Metal Gear Solid… โอเค มันอาจจะใช่สำหรับหลายคน ทว่ามุมเล็กๆ น้อยๆ กับปัจจัยอื่นๆ ของเกม ทำให้นี่เป็นเกม Strand ที่สมบูรณ์แบบตามความตั้งใจของเขาในที่สุด ผมรู้สึกดีที่เกมนี้เป็นที่ยอมรับในแง่ของความสนุกของเกมที่จะมอบให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลยนะ Death Stranding กลายเป็นการทำตามความต้องการสนอง need ล้วนๆ เหมือนภาคแรกแต่ภาคนี้มันถูกที่ถูกเวลาไปหมด เพราะจำได้ไหมว่าผมหรือคนที่เล่นเกมนี้จากภาคแรกมักจะอิดออดเวลาโดนถามว่า “Death Stranding สนุกไหม เกมเป็นยังไง” สำหรับภาคแรกในสายตาหลายคนมันกลายเป็นเกมที่เปรียบเป็นหนังก็เหมือนเป็นหนังเน้นความเป็นหนังจนลืมความสนุก กระนั้นสำหรับภาคนี้เชื่อมั่นเหลือเกินว่า เกมนี้มันจะสนุก โดยที่แฟนคลับของโคจิม่าไม่ต้องแนะนำ และทันทีที่ผู้เล่นได้สัมผัสกับความเป็นโคจิม่าอย่างเข้มข้น ก็จะสนุกกับเกมส่งของเกมนี้ได้ทันที แล้วชวนให้คิดต่อว่างานชิ้นต่อๆ ไปของอัจฉริยะหลุดตรวนคนนี้ จะทำให้โลกตื่นเต้นได้อีกแค่ไหน แต่สำหรับภาคนี้ เกมนี้ทำถูกต้องแล้ว

แชร์เรื่องนี้:
Calldamanny
Calldamanny

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง