รีวิว Cronos: The New Dawn - ผลงานคารวะ Survival Horror จากผู้สร้าง Silent Hill Remake

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว Cronos: The New Dawn - ผลงานคารวะ Survival Horror จากผู้สร้าง Silent Hill Remake

Story - ปริศนาเหนือกาลเวลาและโรคระบาดสุดสยอง (9.2)

ภารกิจย้อนเวลาสู่โลกที่ล่มสลาย 
ภายในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น The Traveler รหัส ND-3576 ซึ่งทำงานให้องค์กรบางอย่างที่เรียกว่า Collective ภารกิจของเราภายใต้ Collective นั้นคือการเดินทางย้อนเวลากลับไปในช่วงสงครามเย็นของโปแลนด์ นั่นคือช่วง 1980s เพื่อค้นหาและทำสิ่งที่เรียกว่า Extract หรือการกอบกู้เป้าหมายกลับมา เพื่อค้นหาความจริง ภายในโลกของ The New Dawn นั้น เราจะได้พบกับปริศนามากมาย และออกเดินทางตามหาคำตอบของโรคประหลาดอย่าง The Change ที่ทำให้มนุษย์ที่ติดโรคนั้น ค่อยๆ ป่วยและเกิดอาการแปลกประหลาดมากมาย จนท้ายที่สุดผู้ป่วยนั้นก็พยายามที่จะรวมร่างกับร่างอื่นๆ จนเกิดกลายเป็นศัตรูตัวหลักของเราภายในเกมนี้ Orphans นั่นแหละ เนื้อเรื่องหลักๆ ถ้าให้เราเกริ่นจริงๆ มันก็มีแค่นี้เลย เพราะถ้าพูดไปมากกว่านี้มันก็สปอยแล้ว ตัวเกมจะโยน ND-3576 หรือเราลงมาในเกมโดยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลย สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือทำตามคำสั่งของ Collective ที่เราก็ยังไม่เข้าใจในเป้าหมายชีวิตด้วยซ้ำ ทำให้ตลอดการเล่นเกมนี้ มันเต็มไปด้วยปริศนา ความสงสัยใคร่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย ทำไมโลกมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ The Change เกิดขึ้นได้ยังไง แล้ว Orphans ทำไมถึงมีพฤติกรรมในการรวมร่างกับสิ่งอื่นๆ ตรงนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก มันทำให้ผมรู้สึกอินกับเรื่องราว ฟีลเหมือนกับเราเล่นเกม JRPG ที่ตัวเอกความจำเสื่อม ทำให้เราต้องมาเรียนรู้เรื่องราวของโลกใหม่อีกครั้ง ซึ่งตอนแรกผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวละครของเราเป็นมนุษย์หรือเปล่า? และนั่นก็คือสิ่งที่เราต้องไปหาคำตอบ และพอมันเป็นลักษณะนี้ ผู้เล่นชาวไทยหลายๆ คนที่อาจจะไม่ค่อยชอบอ่านเนื้อเรื่อง ผมก็อาจจะต้องแสดงความเสียใจด้วย เพราะเนื้อหาในเกมนี้ ส่วนใหญ่นั้นจะถูกเล่าในรูปแบบของเอกสารเป็นหลัก ระหว่างการเดินทางของเรา เราจะได้เจอเอกสารมากมาย ทั้งในเส้นทางตามปกติ และรวมถึงทางลับต่างๆ ด้วย นั่นหมายความว่า ถ้าเราอยากได้เนื้อเรื่องครบสมบูรณ์ทุกอย่าง เท่าที่เกมจะมีให้ เราจำเป็นจะต้องสำรวจอย่างไม่มีข้อแม้ เอาจริงๆ ระหว่างการเล่นผมว่าก็สำรวจไปเยอะมากๆ แล้ว แต่ก็ยังเก็บเอกสารได้ไม่ครบเลย แต่ไม่ต้องเสียใจไป เพราะเส้นเรื่องหลักของเกมนั้น แค่ตามทางเดินหลักของเรา ก็สามารถเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพียงแค่อาจจะเก็บรายละเอียดบางอย่างไม่ครบเท่านั้นเอง

ตัวเอกของเกม Traveler ND-3576

เรื่องเล่าจากสภาพแวดล้อมและร่องรอยอดีต
อีกหนึ่งสิ่งดีงามที่ผมค่อนข้างชอบ ซึ่งมันอาจจะไปโยงกับเรื่องของดีไซน์นิดหน่อยก็คือการออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งหลาย ที่มันจะมีเรื่องราวแบบเฉพาะตัว นี่ก็ถือเป็นหนึ่งในการเล่าเรื่องที่ดี พอมันเป็นเมืองที่มีอยู่จริงในอดีต เราก็พอที่จะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่หลายๆ ที่ได้ เช่นเราเห็นคราบเลือดติดอยู่บนกำแพง ประกอบกับห้องนั้นมีของเล่นเด็กกระจัดกระจายเต็มไปหมด ผนวกรวมเข้ากับเอกสารที่วางอยู่บนพื้น เล่าเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ต้องอยู่โรงพยาบาลคนเดียวจนหายป่วย แต่พอเด็กคนนั้นกลับมาถึงบ้าน กลับไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว สิ่งเหล่านี้ช่วยขยายหลอดความอินของผมได้อย่างดีเยี่ยมเลย นอกจากนี้แล้วก็จะเป็นพวกเศษซากอารยธรรมของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งก็จะมีเอกสารของทั้งคนที่เป็นชาตินิยม สนับสนุนคอมมิวนิสต์ และรวมถึงคนที่ต่อต้านด้วย สิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะเป็นแค่ข้อความบนไฟล์เอกสารที่เราเจอในเกม หรือแม้กระทั่งคำก่นด่าของผู้คนที่ถูกกักกันโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ที่ระบายผ่านสีพ่นบนกำแพง แต่มันก็ช่วยบิลด์ความอินของเราได้อย่างมากเลยทีเดียว

ป้ายประท้วงตามเมือง

การเล่นกับเส้นเวลาที่ทำได้ดีเกินคาด 
ถ้าใครติดตาม Gamer Inside มานาน ก็น่าจะพอเคยได้ยินผมพูดถึงเกมที่ชอบเล่นเกี่ยวกับเวลาบ้าง หลายต่อหลายครั้ง ผมชอบพูดว่าเกมที่เล่นกับไทม์ไลน์เวลามันทำยาก เพราะมันจะทำให้คนงง ไหนจะเลือกของเส้นเวลาคู่ขนานอะไรอีก คือเราแทบนับหัวได้ว่าเกมไหนที่มีระบบข้ามเวลาแล้วออกมาดีเนี่ย มันน้อยมากๆ ซึ่ง Cronos: The New Dawn เองก็มีการเล่นกับเวลาด้วยเช่นเดียวกัน และก็ทำมันออกมาได้ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าจะมีช่วงท้ายๆ ของเกมที่อาจจะงงๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ถือว่าเล่าออกมาได้อย่างดีมากๆ ผมเล่นเกมนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ มีแค่บางพาร์ทเท่านั้นที่ผมรู้สึกสงสัย แต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรใหญ่มากมายนัก เลยทำให้ปล่อยผ่านไปได้ง่าย แต่ตัวเนื้อเรื่องหลักนั้นก็ทำออกมาได้ดี แบบไม่งง

ผ่ามิติเพื่อข้ามเวลา

การแสดงอารมณ์ที่ทรงพลังแม้ไร้ใบหน้า 
เนื่องจากตัวเอกของเกมนั้น จะใส่ชุดพิเศษอยู่ตลอดเวลา ไอชุดที่เหมือนกับชุดอวกาศนั่นแหละ เลยทำให้ระหว่างที่ตัวละครของเราพูดนั้น เราจะไม่ได้เห็นสีหน้าของตัวเอกเลย ตอนแรกผมก็นึกว่า Bloober Team อยากจะประหยัดงบโมแคปหรือเปล่านะ แต่ไม่เลย พวกตัวละครมนุษย์ธรรมดาที่เราเจอได้ตามเนื้อเรื่องนั้น เมื่อถึงจังหวะ Cutscene หรือซีนอารมณ์ต่างๆ ทำออกมาได้โคตรดีและเป็นธรรมชาติมากๆ เราเห็นความกลัวในแววตาของตัวละคร เราพอจะเดาได้ว่าพวกเขารู้สึกยังไง เวลาที่เจอกับเรา ซึ่งสิ่งนี้ช่วยเสริมความอินของผมได้อีกเป็นกองเลย

ฉากแสดงอารมณ์ที่ทำออกมาได้ดี

บทสรุปที่น่าติดตามและทิ้งให้ขบคิด 
รวมๆ แล้วทางด้านเนื้อเรื่องของ Cronos: The New Dawn ถือว่าทำออกมาได้ดี ไม่ได้รู้สึกว่ามีช่องโหว่ของบทอะไร และการให้ผู้เล่นเรียนรู้เนื้อหาจากเอกสารของเกม ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงพอสมควร เพราะมีโอกาสที่จะทำให้เราตกหล่นเนื้อเรื่องไปได้ แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าการทำแบบนี้ ทำให้ตัวเกมมันน่าติดตาม และเข้ากับธีมของเกม และช่วงเวลาที่เกมมันได้เล่าเอามากๆ ถึงแม้ว่าช่วงแรกอาจจะเนือยๆ ไปบ้าง เพราะเราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโลกของเกมเลย แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ เราเริ่มได้ข้อมูลใหม่ๆ ระหว่างการเล่น ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมอินกับเนื้อเรื่องเกมนี้เมื่อไหร่ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมชอบมันมากๆ หลังจากที่เล่นจบผมยังมานั่งขีดเขียนอยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น กลับมานั่งไล่อ่านเอกสารที่เรารวบรวมตั้งแต่ต้นเกม เพื่อสืบหาความจริงและเชื่อมโยงเนื้อหาให้เข้ากัน อ่อ เกมนี้ภาษาอังกฤษค่อนข้างยากนิดนึง ใครไม่เก่งภาษาก็ต้องรอลุ้นว่าจะมีม็อดเดอร์ท่านไหนทำแปลไทยออกมาให้ได้ใช้กัน

Gameplay - ส่วนผสมของ Survival Horror ที่คุ้นเคยและลูกเล่นใหม่สุดโหด (8.8)

แรงบันดาลใจจากตำนาน 
ในงาน Gamescom Cologne ที่ผ่านมา เจ้าก้องของเราได้มีโอกาสไปงานนั้น และได้เข้าไปคุยกับทีมงาน Bloober Team มา (อ่านที่นี่) และได้มีการถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างเกมนี้กับเกมจำพวก Survival Horror ในตำนานทั้งหลาย ทั้ง Resident Evil หรือ Silent Hill ที่พวกเขาเคยผ่านมา ซึ่งพวกเขาก็ยอมรับกันตรงๆ นี่แหละว่าเกมนี้มันมีเกมเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งมันก็ตามนั้น ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า ถ้าใครชอบ Resident Evil หรือ Silent Hill ที่เน้นความสยองหน่อย เนื้อเรื่องลึกลับชวนให้ค้นหา คุณจะหลงหัวปักหัวปำกับเกมนี้แทบจะในทันที

หัวใจของการเอาตัวรอด: การบริหารทรัพยากร 
เกมจะเป็นแบบมุมมอง 3rd Person Shooter ที่ให้เราออกลุยปราบเหล่าศัตรูทั้งหลาย โดยตัวละครของเราจะมีความสามารถมากมาย แต่ความสามารถในการเอาตัวรอด มีแค่ร่างกายและปืนเท่านั้น ใครที่เคยผ่านเกมแนวนี้มาจะเรียนรู้ได้ไม่ยาก เป้าหมายในการเล่นของเราก็แค่เล็งปืนไปที่ศัตรูและยิงมันทิ้งเท่านั้น แต่องค์ประกอบที่มันโหดจริงๆ ก็คือองค์ประกอบในความเป็น Survival นี่แหละ ภายในเกมเราจำเป็นจะต้องบริหารทรัพยากรช่องกระเป๋าของเราเอาไว้ คล้ายๆ กับ Resident Evil 3 ภาคแรก โดยกระเป๋าเริ่มต้นนั้นจะมีให้เพียงแค่ 6 ช่องเท่านั้น และแน่นอนว่าปืนกับกระสุนก็กินพื้นที่เช่นเดียวกัน และกระสุนปืนก็จะมี Stack ที่จำกัดด้วย นั่นหมายความว่า ถ้าคุณเก็บกระสุนมาเยอะ มันก็อาจจะกินพื้นที่ในการเก็บของต่างๆ ของเราไปด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องยาที่กินช่องด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจะต้องบริหารดีๆ ว่าเราจะทำยังไง เอากระสุนไปกี่นัด แล้วจะเอายาไปด้วยไหม ถ้านี่มันดูเป็นปัญหาแล้วล่ะก็ เตรียมไว้ได้เลย เพราะมันไม่ได้มีแค่นี้ ในเกมจะมีไอเทมคีมตัดเหล็กด้วย ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ในการเปิดห้องลับหลายๆ จุด ซึ่งมันจะไม่ได้จำเป็นต่อเนื้อเรื่องเท่าไหร่ เพราะอย่างที่เราบอกไป คือในห้องลับจะมีไอเทมให้เก็บ และเอกสารบางอย่างที่ช่วยเสริม Lore ของตัวเกม ถ้าคุณกลัวว่าพอไปถึงห้องลับแล้ว จะไม่มีที่ตัดเหล็กให้ใช้ คุณก็ต้องพกไปด้วย หรือไม่ก็ต้องเก็บเอาไว้ที่กล่องเซฟ เจอห้องแล้วค่อยจำว่ามันอยู่ตรงไหน ค่อยกลับมาอีกทีก็ได้เช่นกัน แต่ก็นั่นแหละมันเสียเวลา อยู่ที่คุณจะเลือกเอง ปืนในเกมนี้มีด้วยกัน 5 กระบอก 4 รูปแบบ จะมีที่ซ้ำกันก็แค่ปืนพกเท่านั้นที่มีสองกระบอก ตรงนี้ทำให้พวกกระสุนที่เราเก็บได้จะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามอาวุธปืนของเราคือ กระสุนปืนพก, กระสุนลูกซอง, กระสุนปืนกล และกระสุนไรเฟิล คือพอช่องกระเป๋ามันน้อย ก็ทำให้เราต้องเลือกว่าเราจะเอาปืนอะไรไปใช้ และแน่นอน พวกกระสุนที่ดรอปตามทางนั้น มันสุ่ม นั่นทำให้บางครั้งเราถือปืนพกกับลูกซอง แต่ดรอปเป็นกระสุนปืนกลมา เราก็ต้องเลือกว่าเราจะเก็บหรือเปล่า ถ้าเก็บก็เปลืองช่องไปอีก 1 ช่อง ถ้าไม่เก็บก็ได้ แต่อย่าลืมว่านี่คือเกม Survivor กระสุนทุกนัดมีค่า ถึงแม้จะเป็นปืนที่เราไม่ใช้ แต่ในด่านต่อๆ ไปของเกม กระสุนปืนหลักเราอาจจะหมด ทำให้ต้องควักปืนเปล่านี้ออกมาใช้ก็ได้

Inventory และ ช่องคราฟต์ของ

ระบบอัปเกรดที่ต้องวางแผน 
ผมพูดมาถึงตรงนี้มันก็ดูยุ่งยากวุ่นวายไปหมดใช่ไหม แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เพราะในเกมมีฟังก์ชันในการอัปเกรดตัวละครและอาวุธด้วย โดยเราสามารถอัปเกรดได้ผ่านสถานีอัปเกรดในห้องเซฟ จะแบ่งแยกทรัพยากรเป็นสองอย่างด้วยกันคือการอัปเกรดด้วยไอเทมที่เรียกว่า Core และการอัปเกรดปืนด้วย Energy ที่เป็นค่าเงินของเกมนี้ เริ่มกันที่ Core ก่อนก็แล้วกัน Core จะเป็นไอเทมแรร์ที่เราสามารถหาได้จากห้องลับ หรือว่าดรอปจากแมวที่เดี๋ยวเราจะยกแมวไปพูดในภายหลัง ซึ่งไอเทมชิ้นนี้จะหายากมาก เราสามารถอัปเกรดชุดได้ทั้งหมด 3 ออปชันคือ เลือด, ช่องเก็บของ และ ช่องเก็บทรัพยากรการคราฟต์ไอเทม ติดไว้อีกที การอัปเกรดแต่ละขั้นก็จะใช้ Core ที่แตกต่างกัน ในเลเวล 1 ก็จะใช้แค่ 1 Core เท่านั้น เลเวล 2 2 Core และสูงสุดที่ 3 Core ในเลเวลถัดๆ ไป นั่นทำให้ทุกครั้งที่เราเก็บ Core ได้เราจำเป็นจะต้องวางแผนว่า ในช่วงนี้ของเกมเราควรจะอัปเกรดอะไรก่อนดี เอาช่องเก็บของดีไหม จะได้ชีวิตสะดวก ไปอัปเลือดดีจะได้ตายยากๆ หน่อย หรือช่องเก็บของคราฟต์จะได้คราฟต์กระสุนและยาได้เพิ่มมากขึ้น ส่วนอาวุธก็จะใช้สิ่งที่เรียกว่า Energy ในการอัปเกรด อันนี้สามารถหาได้ทั่วไปตามฉากเลย มีทั้งอัปพลังการยิง ความเร็วในการรีโหลด ความจุกระสุน ความเร็วในการชาร์จยิง และความนิ่งของปืน ซึ่งไออันสุดท้ายเนี่ยแหละสำคัญมากช่วงต้นเกม เพราะตัวละครเราเวลาเล็งยิงหรือชาร์จยิงมือมันจะส่ายมาก ทำให้ยิงได้ยาก ขนาดผมเล่นด้วยเมาส์คีย์บอร์ดยังยากเลย ซึ่งการจัดสรรปันส่วนแบบนี้ มันทำให้เราไม่ต้องคิดเยอะมาก อย่างน้อยก็แยกหมวดหมู่ไปเลย อัปได้ทั้งชุดและอาวุธพร้อมๆ กัน แค่มานั่งคิดอีกทีว่าจะอัปอะไรก่อน หรืออาวุธชิ้นไหนก่อน อ๋อ ลืม ในเกมจะมีอาวุธพิเศษอีกสองชิ้นคือ Flamethrower และ Pyre ที่ต้องอัปเกรดด้วย Core ด้วย แล้วนอกจากการอัปเกรดที่เราอัปเองแล้ว ตามเนื้อเรื่องก็จะมีการอัปเกรดที่บังคับอัปเกรดอยู่แล้ว เช่น Module สำหรับการเช็คเลือดศัตรูด้วย ซึ่งของเหล่านี้จะทยอยๆ มาตามเนื้อเรื่องอยู่แล้ว

ระบบอัปเกรดของ Cronos: The New Dawn

กลไกการ “รวมร่าง” ของศัตรู 
ศัตรูหลักในเกมนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า Orphans หรือเด็กกำพร้า ซึ่งถ้าเทียบง่ายๆ มันก็คือซอมบี้ที่เราจะต้องสู้ด้วยนั่นแหละ ตามหลักการทั่วไปเลยก็คือยิงหัวทำดาเมจสูงสุด แต่ทีนี้ ศัตรูแต่ละตัวจะมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป บางตัวหัวมันมีเกราะ เราอาจจะต้องหาจุดยิงตรงอื่น หรือไม่บางตัวก็มีเกราะเกือบทั้งตัว ทำให้เราต้องยิงแค่จุดอ่อนเท่านั้น และเกมเพลย์ที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้เลยคือระบบ Merge หรือการรวมร่างของศัตรู ซึ่งตรงนี้จะทำให้เกมมันแตกต่างจากเกมอื่นๆ ไปเลย Orphans ในเกมนี้จะมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัว คือเวลาที่มันตาย ศพมันจะไม่หายไปไหน มันจะนอนกองอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ และถ้ามี Orphans ตัวอื่นมาเจอศพนั้นเข้า มันจะทำการใช้ความสามารถในการรวมร่าง ดูดเอาศพนั้นมาใช้ แล้วมันน่ากลัวยังไงใช่ไหม มันก็แค่รวมร่าง ผมก็คิดแบบนี้ในช่วงต้นเกมเหมือนกัน คือมันรวมร่างขึ้นมามันก็เก่งขึ้นแบบนิดหน่อยนั่นแหละ จะไปยากอะไรใช่มะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนต้นเกมก็คือ เมื่อศัตรูกี้ๆ รวมร่างกับกี้ๆ มันก็คือกี้ๆ ระดับสอง มันก็เลยดูไม่เก่งสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ Progress เกมไปไกลๆ แล้ว เราเจอศัตรูที่เก่งขึ้น อาจจะเป็นมินิบอสอะไรพวกนี้ แล้วไอพวกนี้นี่แหละที่น่ากลัว เพราะถ้ากี้ๆ กินตัวบอสเข้าไป เราจะเจอมินิบอสที่เก่งขึ้นกว่าเดิมอีกระดับ อาจจะมีเกราะเพิ่ม เหมือนเราต้องเจอมินิบอสถึงสองรอบ ทั้งๆ ที่เราฆ่ามันไปแล้วรอบหนึ่งนั่นเอง แต่สิ่งนี้ก็สามารถแก้ได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ Flamethrower เผาศพตัวที่เราฆ่าไปแล้วนั่นเอง แต่ติดอยู่นิดหนึ่ง ตรงที่ว่า Flamethrower นั้นจะเผาศพความกว้างรอบตัวเราสักประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางสองเมตรเท่านั้น แล้วเราไม่สามารถแบกศพมารวมกันได้ ทำให้จำนวนเวลาเราเผา มันจะน้อยนั่นเอง อ่อ ทุกคนอาจจะสงสัยว่าแล้วทำไม ไม่ไล่เผาไปเรื่อยๆ ล่ะ นั่นก็เป็นเพราะว่า Flamethrower นั้นเกมจะให้เรามาแค่ 1 อันเท่านั้น ถ้าอยากได้เพิ่มต้องคราฟต์เอง ซึ่งเสียทรัพยากร หรือไม่ก็วิ่งกลับไปเอาที่ห้องเซฟ ที่มันจะให้เรา 1 อัน ถ้าเราไม่มีระเบิดไฟอยู่ในมือเลย แถมไอระเบิดไฟนี่มันยังช่วยเราขัดจังหวะศัตรูได้อีก ทำให้แต่ละครั้งที่เราจะใช้ระเบิดไฟ เราต้องคิดดีๆ ว่า เราจะใช้มันตอนไหน เอาไว้ขัดศัตรูไหม หรือว่าเผาศพไปเลยจะได้เล่นง่ายๆ หน่อย ซึ่งบอกเลยว่าสถานการณ์แบบนี้ มันเกิดขึ้นแทบตลอดทั้งเกม จังหวะที่ผมเล่นไปแล้วตึงเครียดเองว่า เอาไงดีวะ จะใช้ระเบิดไฟเลยดีไหม ซึ่งห้องลับบางจุดก็ต้องใช้ระเบิดไฟเพื่อเปิดทางอีก มันเลยเกิดการทับซ้อนทางความคิดแบบเยอะมากๆ

Orphans ที่กำลังรวมร่างกับศพ

การคราฟต์ที่บีบให้ต้องเลือก 
ในแง่ของความเป็น Survival ยังไม่ได้หมดแต่เพียงเท่านี้ ผมมีการพูดถึงมันไปนิดหน่อยแล้วนั่นก็คือระบบการคราฟต์ไอเทมนั่นเอง ไอเทมในการคราฟต์นั้นจะมีอยู่แค่ 2 อย่างเท่านั้น นั่นคือ Chemical และ Gears ซึ่งสองอย่างนี้ตอนเริ่มต้นเราจะเก็บได้ Max แค่อย่างละ 3 ชิ้นเท่านั้น โดยที่ไม่กินช่องปกติของเรา ซึ่งเราจะต้องใช้ของสองอย่างนี้ในการคราฟต์กระสุนและยา กระสุนแต่ละชนิดก็จะใช้ของที่แตกต่างกันไปอีก ยกตัวอย่างเช่น กระสุนปืนพกเราใช้ Chemical 3 อันในการคราฟต์กระสุน 3 ลูก, ลูกซองเราใช้ Chemical 2 อัน และ Gear อีก 3 อัน, ยาใช้ Chemical 2-4 อัน, ระเบิดไฟกับระเบิดโมชั่นเซ็นเซอร์ใช้ Gear 3 อันเป็นต้น ระบบคราฟต์ของตรงนี้ทำให้เราต้องคิดเยอะๆ ว่าเราจะทำยังไงกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ถ้ากระสุนหมดเราจะคราฟต์กระสุนอะไรดี ของคราฟต์พอไหม ถ้าเลือดน้อยก็คราฟต์ยา อยากเคลียร์ศพก็คราฟต์ระเบิดไฟ แต่ถ้าสถานการณ์ตรงหน้ามันเกิดทุกอย่างขึ้นพร้อมกันล่ะ เราจะทำยังไง ตลอดการเล่นของผม 20 ชั่วโมงนั้น ผมตัดสินใจที่จะไม่คราฟต์ยาเลย เน้นยืนห่างๆ แล้วยิงเอา ผมสามารถกำจัดศัตรูทุกตัวในเกมได้ เพราะผมเอาทรัพยากรทั้งหมดไปคราฟต์กระสุน แต่ถ้าผมเลือกที่จะคราฟต์ยาด้วย นั่นหมายความว่าผมจะไม่สามารถกำจัดศัตรูทุกตัวในเกมได้ ดังนั้นมันก็เป็น Reward กับคนเล่นเสี่ยง เพราะศัตรูในเกมนี้ไม่ Respawn (ยกเว้นมันจะรวมร่างกัน) ถ้าเราเคลียร์หมดเวลาที่เรากลับมาที่เดิม ก็จะสำรวจได้ง่าย แต่ถ้าเราโดนตีตายบ่อย จำเป็นจะต้องคราฟต์ยา เราก็อาจจะต้องเลี่ยงการต่อสู้ในหลายๆ ครั้งนั่นเอง

บัฟพิเศษที่เพิ่มสีสัน 
อีกอย่างที่มีในเกมนี้ และอาจจะรู้สึกผิดที่ผิดทางไปบ้างนั่นคือบัฟ ที่เราอาจจะมองได้ว่ามันน่าจะเป็นองค์ประกอบของความเป็น RPG มากกว่า ในระหว่างการเล่น อย่างที่ผมว่าไป เราสามารถ Extract เป้าหมายได้ เพื่อกิจกรรมอะไรบางอย่าง หลังจาก Extract เป้าหมายแล้ว เราจะได้ความสามารถติดตัวเป้าหมายมาด้วย เช่น ถ้ายิงลูกซองโดนศัตรูมากกว่า 1 ตัวในนัดเดียว จะได้ดาเมจที่แรงขึ้น, ทำดาเมจได้แรงขึ้นหากใช้ปืนพกยิงเฮดช็อต หรือ ลดการใช้ทรัพยากรในการคราฟต์ลง ซึ่งบัฟพิเศษเหล่านี้จะมีได้สูงสุดพร้อมกัน 3 อย่าง หากเกินมาตัวของเราจะขึ้นบอกเลยว่าไม่สามารถ Extract ได้ จำเป็นจะต้องทิ้งของเก่าไปก่อนเพื่อรับของใหม่ เอาจริงๆ มันก็ช่วยเพิ่มสร้างสีสันแหละ ผมแค่รู้สึกว่ามันอยู่ผิดที่ผิดทางไปนิดนึงเท่านั้นเอง

Essence บัฟพิเศษ

การออกแบบฉากที่ท้าทายการสำรวจ 
การดีไซน์แผนที่ในเกมนี้ ถ้าใครเคยเล่น Resident Evil มาก็จะคุ้นเคยกับมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แม้ตัวเกมจะดำเนินเรื่องแบบเส้นตรง แต่ระหว่างการเล่นนั้น จะมีการกลับมาซ้ำในสถานที่ก่อนหน้าอยู่บ่อยครั้ง เราอาจจะได้อบิลิตี้บางอย่างในการเปิดทางไปต่อ หรือไม่ก็ตามเนื้อเรื่องที่ Progress ไปข้างหน้า แผนที่จะออกแนวเขาวงกตนิดหน่อย อาจจะทำให้หลงได้ง่าย และท้าทายในการสำรวจ ปกติแล้วผมเป็นคนที่หลงทางง่ายมากๆ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ผมไม่เป็นกับเกมนี้เลย ทั้งๆ ที่ตัวเกมมันไม่มีแผนที่หรือ Minimap ให้ดูเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะว่า พวกทางแยกต่างๆ ที่เราเจอนั้น ส่วนมากจะแบ่งออกเป็นแค่สองทางคือ ทางพาไปสู่ห้องลับ ที่มีไอเทมให้เก็บ หรือไม่ก็เป็นทางไปต่อ ถ้ามันไปไม่ได้ ก็แสดงว่า Progression ของเกมเรายังไม่ถึง เราต้องมีอุปกรณ์อะไรบางอย่างก่อนถึงจะมาได้ อ่อ แล้วเกมก็มีระบบนำทางพิเศษให้ด้วย ถ้าหลงกดคีย์ลัดก็พอจะคลำทางต่อได้อยู่

แมว = เกมแห่งปี 
ถ้าใครได้ดูเทรลเลอร์ของเกมไป น่าจะพอคุ้นๆ กับฉากที่ตัวเอก Traveler ของเราเล่นกับแมวใช่ไหม แน่นอนล่ะว่ามีแมว = เกมแห่งปี แต่หลังๆ มาเราจะเห็นว่าหลายๆ เกมเอาแมวเข้าไปใส่เพื่อให้ผู้เล่นเล่นเท่านั้น แต่ว่าในเกมนี้ แมวจะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความผ่อนคลายของเกม รวมถึงการตามหาแมวตามฉากต่างๆ นั้นจะมอบรางวัลให้กับผู้เล่นด้วย แมวบางตัวก็จะนั่งจะนอนอยู่กับที่รอให้เราไปหา แมวบางตัวอาจจะโผล่ออกมาปาดหน้า ให้เราวิ่งตามหาตัวพร้อมกับเข้าไปทำความรู้จักมัน นอกจากนี้เสริมแกร่งความเป็นเกมแห่งปีไปอีกขั้นด้วยการที่หลังจากที่เราเจอแมวแต่ละตัวในฉาก แมวเหล่านั้นจะไปอยู่ใน Hub ของเรา ให้เราได้เข้าไปพูดคุยกับมันทุกครั้งหลังเสร็จภารกิจ ซึ่งแมวแต่ละตัวก็จะมีชื่อเรียกเป็นของตัวเองด้วย ผมว่าจุดนี้มันเป็นจุดฟื้นฟูจิตใจได้ดีมากๆ เลย

น้องแมวฟื้นฟูจิตใจ

พัซเซิลที่พอหอมปากหอมคอ 
ทางด้าน Puzzle ของเกมก็มีให้แบบพอหอมปากหอมคอ เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ง่ายมากๆ จนผมก็ไม่รู้เหมือนกันจะเรียกมันว่า Puzzle หรือเปล่า หนึ่งในความสามารถของ Traveler คือการย้อนเวลา ซึ่งตามปกติแล้วเราจะเอาไว้ใช้สำหรับดำเนินเรื่องราว แต่เราจะมีความสามารถอีกอย่างที่สามารถย้อนเวลาของบางจุดได้ โดยมันจะเป็นสัญลักษณ์คล้ายๆ กับหลุมดำอยู่ตามฉาก ที่เราสามารถใช้พลังย้อนคืนสิ่งปลูกสร้าง หรืออุปกรณ์บางอย่างได้ บางครั้งเราก็ต้องย้อนไปย้อนมาเพื่อแก้ไข Puzzle แต่ในมุมมองของผมมองว่ามันออกจะง่ายไปสักนิด ที่ดูเหมือน Puzzle จริงๆ ที่ไม่ใช่ Puzzle ย้อนเวลาเหมือนจะมีแค่จุดเดียวในเกมเท่านั้นเอง นอกจากนี้แล้วเราก็จะมีความสามารถพิเศษอีกอย่างด้วย นั่นคือการต่อไฟด้วยการยิงลูกดอกไฟฟ้า ที่จะได้รับมาในช่วงหลังๆ ของเกม ซึ่งก็เหมือนเดิมอ่ะครับ มันไม่ค่อยท้าทายเลย แต่ก็อาจจะดีกับผู้เล่นที่ไม่อยากซีเรียสกับ Puzzle มากนัก

Puzzle ควบคุมเวลา

ความสยองขวัญที่หนักแน่น 
องค์ประกอบสุดท้ายในเกม ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นตัวตัดสินของใครหลายๆ คนเลยว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ นั่นคือความเป็น Horror ของเกม เกมนี้มันจะต่างจาก Resident Evil ก็ตรงนี้นี่แหละ ความเป็น Horror ของเกมนี้ค่อนข้างหนาแน่นทีเดียว สถานที่ที่เราเดินทางไปนั้น ส่วนมากจะมืดตึ๊ดตื๋อ เราจะเผชิญหน้ากับความกดดันอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงแรกของเกม และ 30% หลังของเกม ที่ผมพูดแบบนี้ เพราะตอนแรกที่ผมเล่น ผมรู้สึกกดดันมากในช่วงแรก เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย เราไม่รู้จักศัตรูของเรา เราไม่รู้จังหวะการโจมตีของมัน แต่พอผ่านช่วงแรกไปได้ ผมกลับรู้สึกชิลล์ขึ้น ยิ่งช่วงกลางๆ ของเกมที่ออกแบบด่านมาได้แบบว่า เหมือนตะโกนให้เราได้ยินว่า เฮ้ย ตรงนี้มึงต้องสู้แน่ๆ หรือไม่ก็เจอบอสแน่ๆ คืออันนี้มันทำให้ผมรู้สึกเซ็งนิดนึง เพราะผมอยากโดนเซอร์ไพรส์แบบไม่บอกไม่กล่าวอ่ะ แต่เห็นตำแหน่งการวางถังแดง จุดย้อนเวลาหลายๆ อย่างแล้วแบบ มันทำให้ผมดึงหน้าออกจากจอ และเตรียมตัวกับสิ่งที่จะมาได้ ซึ่งสำหรับผมมันหายตื่นเต้นไปพอสมควร จนกว่าจะนู่นอ่ะ ช่วงหลังๆ ที่ดึงบรรยากาศน่ากลัวกลับมาได้ อันนี้เตือนไว้นิดนึง ตัวเกมมี Jumpscare แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก ก่อนเล่นก็ลองประเมินตัวเองดูว่าไหวหรือเปล่า

บทสรุปของเกมเพลย์ 
ถ้าให้นิยามง่ายๆ ว่าตัวเกมมันเป็นยังไง มันคือ Survivor Horror ที่หยิบเอาองค์ประกอบจากหลายๆ เกมมาใช้ ซึ่งหน้าเต๋ามันจะออกได้สองทาง คือไม่เละไปเลยก็ยอดเยี่ยมไปเลย แน่นอนว่าเกมนี้อยู่ในระดับยอดเยี่ยม ทั้งองค์ประกอบการเล่นแบบ Resident Evil ความน่ากลัวแบบ Silent Hill การบริหารทรัพยากรแบบ The Last of Us มันทำให้ผมชอบเกมนี้มากๆ และตอนจบของเกมนี้มีทั้งหมด 2 แบบ ซึ่งจะเป็นการเลือกตอนจบคล้ายๆ กับ Clair Obscur Expedition 33 คือถ้าเราเซฟไว้ก่อนจบ เราก็สามารถโหลดมาดูฉากจบอีกแบบได้เลย ไม่ต้องไปเล่นใหม่ อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งข้อเสียที่ผมเสียดาย เพราะในเกมมี Dialogue ให้เลือกตอบเยอะ แต่กลับไม่มีผลกับเนื้อเรื่องเลย มีแค่บทสนทนาที่แตกต่างกันนิดหน่อยเท่านั้น อ่อ แต่มีโหมด New Game + ให้กลับไปอัปเกรดของให้ครบ และหลังจบจะสามารถเลือกความยากของเกมได้เพิ่มด้วย แถมมีชุดให้เปลี่ยนด้วยนะเออ

Performance - งานภาพโดดเด่นบนความท้าทายของ Unreal Engine 5 (8.2)

การ Optimize ที่ดีกว่าที่คาด 
เกม Cronos: The New Dawn ใช้งานเอนจิ้นเกมยอดฮิตในปัจจุบันอย่าง Unreal Engine 5 ซึ่งช่วงนี้กำลังเป็นประเด็นเลยด้วยเพราะหลายๆ เกมที่ใช้งานเอนจิ้นนี้มักมีปัญหาทางด้าน Performance ที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจจะเป็นเพราะการ Optimize ที่ไม่ดีของผู้พัฒนาเกมก็เป็นได้ แต่ในเกม Cronos: The New Dawn บอกได้เลยว่าทีมงาน Bloober Team ทำการ Optimize ออกมาได้ดีพอสมควรถ้าเทียบกับเกม Unreal Engine 5 เกมอื่นๆ ในตลาดหรือเทียบกับเกมก่อนหน้าของพวกเขาอย่าง Silent Hill 2 Remake ปัญหาที่พบบ่อยๆ ในเอนจิ้นนี้ยังพอเห็นอยู่บ้างเช่นกระตุกตอนเปลี่ยนพื้นที่หรือ FPS แกว่งบางช่วง แต่เอาตรงๆ มันดีกว่าเกม UE5 อื่นๆ ที่ผมสัมผัสมาเยอะเลย เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่าเกมนี้ไม่ได้ออกแบบมาด้วยแผนที่ของเกมที่ใหญ่มากมายขนาดนั้น เพราะเกม UE5 ที่ชอบมีปัญหามักจะเป็นเกม Open World หรือเกมที่ใช้แผนที่เกมขนาดใหญ่ แต่เอาตามตรงถ้าคุณจะเล่น Cronos: The New Dawn แบบ 4K ปรับสุดต่อให้คอมแรงจัดๆ ยังไงก็ต้องใช้ Upscaling กับ Frame Generation ช่วยอยู่ดีถ้าอยากจะได้ FPS ที่เกิน 60 หรือมันมีอีกวิธีคือปิด Ray Tracing ส่วนตัวผมรู้สึกว่าในเกมนี้ เปิดกับปิด Ray Tracing แตกต่างกันน้อยมาก และแลกมากับ FPS หลัก 10 ถึงเกือบ 20 เลย ฉะนั้นถ้าอยากได้ FPS ดีๆ ผมแนะนำปิด Ray Tracing ไปเลยจะได้เฟรมเรตขึ้นระดับหนึ่งเลย ถ้าถามว่าเกมนี้ Optimize ดีไหม ต้องบอกว่าดีถ้าเทียบกับเกม UE5 หลายๆ เกมในตลาด แต่ส่วนตัวผมยังรู้สึกว่ามันแอบกินสเปคไปอยู่เหมือนกันกับภาพของเกมที่สวยจริงแต่มันมีเอนจิ้นอื่นๆ ที่ทำได้ระดับนี้เหมือนกันแต่ไม่กินสเปคเท่า จุดนี้ผมก็ขอชื่นชมทีม Bloober Team พอสมควรเลยเพราะผมไม่ค่อยเห็นเกมที่ใช้ UE5 ที่ Optimize ได้ดีขนาดนี้สักเท่าไหร่ในตลาดเลย

งานศิลป์ที่ดิบเถื่อนและชวนสยอง 
การออกแบบงานศิลป์ของเกมนี้ถือเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบเป็นการส่วนตัว มันเป็นความ Contrast ที่ลงตัวในงานการออกแบบเกมที่ขายความสยอง ทั้งเรื่องการใช้เซ็ตติ้งของเกมให้เป็นยุคของคอมมิวนิสต์ ที่เราเห็นความโหดร้ายต่างๆ ตลอดสองข้างทางที่เดิน และสถาปัตยกรรมแบบ Brutalist ความหยาบกระด้าง ความดิบเถื่อน ทุกอย่างมันผนวกรวมเข้ากับความ Sci-Fi ของเกม ที่มันสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน ตัวเอกที่ดูไม่เหมือนมนุษย์ อยู่บนโลกเดินดินที่เรารู้จักกัน มันเหมือนกับเอาการออกแบบหลุดโลกมาตั้งเอาไว้ให้เราสัมผัสได้ รวมไปถึงความสยองขวัญในรูปแบบที่เละเทะ แหวะชวนอ้วกของ Biomass ร่างของคนที่หลอมรวมเข้ากับโครงสร้างต่างๆ แบบ Body Horror ที่น่าสยดสยอง ส่วนทางด้านการออกแบบศัตรูที่เป็นศัตรูปกตินั้นอาจจะมีความซ้ำซากอยู่บ้าง แต่สำหรับบอสหรือมินิบอสนั้นก็ถือว่าออกแบบมาได้อย่างดีมากๆ มีทั้งความเป็นเลิฟคราฟเทียนและสไตล์ของ The Thing ที่ผมบอกเลยว่า เล่นไปกินข้าวไปไม่ได้แน่ๆ กับเกมนี้

งานดีไซน์ถึงลูกถึงคน

สารพัดบั๊กที่รอการแก้ไขในวันแรก 
มาถึงบั๊กของเกมกันบ้าง ผมต้องพูดกันตามตรงว่าผมเจอค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะเป็นการเล่นก่อนที่ตัวเกมจะวางขาย และ Developer เขาก็แจ้งมาแล้วว่าเราจะเจอบั๊กบางอย่างด้วย คือเขาระบุเลยน่ะครับว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งตามที่เขาลิสต์มาผมก็เจออยู่ประมาณสองสามตัว อย่างหลังจากจบบทสนทนาเรียบร้อยแล้ว ตัวละครผมค้างจนขยับไม่ได้ จนต้องรีเกมกลับมาคุยใหม่ สรุปเป็นเหมือนเดิม หรือจะเป็นการที่ผมลัดการกระทำอะไรบางอย่างจนไม่สามารถ Progress ไปต่อได้ อย่างฉากที่ผมต้องสู้กับ Orphans ที่ปีนกำแพงได้ แล้วผมเห็นว่าพวกมันออกมาจากรูที่เปิดอยู่ และเราสามารถปิดมันได้ หลังจากที่ผมตายไปรอบหนึ่ง ผมกลับมาอีกรอบโดยที่ไม่ยิงพวกมันสักตัว แล้วปิดให้หมดก่อน ค่อยฆ่ามันให้หมด กลายเป็นว่ามี Orphans บางตัวติดอยู่ในกำแพง แล้วเราฆ่ามันไม่ได้แล้ว ผมไม่สามารถ Progress เกมต่อไปได้ เพราะว่าฆ่าไม่หมด ต้องรีเกม หรือว่าเป็นการเล่นเกมที่นานไปจนเกมดับ ซึ่งโชคดีที่เกมมันมีออโต้เซฟให้ ถึงแม้ว่าบางจุดจะไกลไปหน่อยก็เถอะ ซึ่งบั๊กที่ผมกล่าวถึงข้างต้นทั้งหมดนั้นเป็นบั๊กที่ Developer เขาแจ้งมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ผมไม่ได้อ่าน เพราะกลัวว่าเขาจะโน้ตว่าตรงไหนห้ามสปอยหรือเปล่า ไม่งั้นผมสปอยตัวเอง ส่วนบั๊กอื่นๆ ก็มีจุดที่ผมตายแล้วเกิดใหม่ Orphans ที่ผมเคยฆ่าไปแล้วมันกลับเกิดใหม่มาด้วย เลยทำให้ผมเกิดมาแล้วก็โดนมันตบตายในทันที อันนี้เป็นเพราะช่วง Auto Save มันดันเซฟตอนที่ผมเลือดน้อยพอดี แล้วศัตรูที่สมควรจะตายไปแล้วดันเกิดมาใหม่ ทำให้ผมเกิดตายวนเวียนอยู่หลายรอบ จนกระทั่งผมสามารถล่อหลอกมันได้แล้วเติมยา ซึ่งรวมๆ ก็ทำให้ผมเซ็งอยู่เหมือนกัน อันนี้แจ้งก่อนเลยก็แล้วกัน พวกบั๊กที่ Developer เขาแจ้งมาแล้ว อันนี้ผมจะไม่ได้เอามาตัดคะแนนแบบเต็มๆ เพราะเขาเขียนบอกเอาไว้แล้วว่าเขาจะแก้ใน Day One แต่ก็แอบหงุดหงิดอยู่ดี งั้นขอหน่อยแล้วกันนะ

Sound Design - เสียงประกอบที่สร้างบรรยากาศสยองขวัญได้อย่างสมบูรณ์แบบ (9.3)

บทเพลงที่ขับกล่อมความลึกลับ 
Soundtrack ของเกม Survivor Horror จะมีไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่ เพราะปกติแล้วเกมแนวนี้มักจะเล่าเรื่องราวผ่านซาวด์ประกอบของเกมมากกว่า ว่าง่ายๆ คือเน้นพวกบรรยากาศนั่นแหละ แต่ถึงแม้ว่าจะน้อยและไม่ค่อยได้ใช้ ก็ใช่ว่าจะไม่ดี หนึ่งในธีมหลักของเกมที่ผมรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษก็คือ The Traveler ที่เป็นแนว Synthwave แบบเดียวกับ Stranger Things มันเป็นแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ที่มีบรรยากาศลึกลับและไซไฟอย่างชัดเจน เสียงสังเคราะห์ หรือ Synthesizer ที่ใช้ในเพลงสร้างความรู้สึกของการอยู่ในโลกดิจิทัลหรือโลกที่ไม่คุ้นเคยได้อย่างดี หรือเพลงจุดเซฟที่เงียบ และมีเครื่องสีเล่นอยู่เป็นพื้นหลัง มันไม่ได้โหมจนเรารู้สึกรำคาญ แต่มันบางเบาจนเราแทบไม่ได้ยิน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยและเหงา แม้เราจะอยู่ในจุดเซฟของเกมก็ตามที รวมถึงการบิลด์จังหวะดนตรีที่ดันเบสเข้ามา แล้วทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นมากๆ แม้จะไม่มีศัตรูก็ตาม มันทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวตลอดการเล่นเลย

เสียงเอฟเฟกต์ที่ชวนขนลุก 
ทางด้านเสียงประกอบพวกซาวด์เอฟเฟกต์ต่างๆ นั้นทำออกมาได้ดีเยี่ยม เนื่องจากตัวละครของเรามันตัวใหญ่และเดินค่อนข้างช้า เสียงการเดินหรืออะไรพวกนี้ก็ทำออกมาได้แบบหนักแน่นมากๆ ทางด้านเสียงปืนก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นกัน ทั้งซาวด์ต่างๆ ที่เป็นบรรยากาศของเกมนั้นต้องบอกเลยว่าของมันโคตรดี แค่เดินฟังเสียงในเกมอย่างเดียวมันก็โคตรน่ากลัวมากๆ แล้ว และสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลอนหูมากๆ เลยก็คือเสียงการรวมร่างของ Orphans ที่มันทั้งระแวงจากระบบเกมเพลย์ และระแวงจากเสียงที่มันแหวะเป็นพิเศษ ความเป็น Body Horror มันชัดขึ้นก็ตรงนี้นี่แหละ เสียงเนื้อ เสียงการแหวกออกมาจากอะไรสักอย่าง เสียงของ Orphans ที่กรีดร้องก็ด้วยเช่นกัน

เสียงพากย์ที่เข้าถึงอารมณ์ 
ทางด้านเสียงพากย์นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี จริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเอกของเรามีลักษณะการพูดที่ดูไม่ใช่มนุษย์อยู่แล้วด้วย และนักพากย์ยังพากย์ได้ไร้อารมณ์ (คำชม) ถึงตัวละครมากๆ ซึ่งตอนจบผมต้องมานั่งไล่ดูเครดิตเลยว่าใครเป็นคนพากย์ สรุปเป็นคุณ Kelly Burke ที่เคยพากย์เสียงภาษาอังกฤษให้กับตัวละคร Dahlia ใน Xenoblade Chronicles 2 ส่วนอีกตัวที่จะต้องให้เครดิตเลยคือ Jassina Polak นักแสดงชาวโปแลนด์ที่เพิ่งจะเคยมาเป็น Voice Actor ให้กับตัวละครในเกมเป็นครั้งแรก ซึ่งเธอทำไว้ค่อนข้างดี แต่อาจจะดรอปไปนิดนึงเท่านั้น ดังนั้นเสียงพากย์ส่วนใหญ่ที่ผมต้องชื่นชมเลยคือบรรดาตัวละครอื่นที่เราเจอภายในเกม ซึ่งบอกเลยว่าของมันถึง ได้อารมณ์และช่วยเพิ่มความอินให้กับเราได้เป็นอย่างดี

คะแนนรีวิวแบบละเอียด

หมวดหมู่ หัวข้อย่อย คะแนน
Story (9.2/10) วิธีเล่าเรื่อง 8/10
ความเข้ากันกับเนื้อเรื่อง 10/10
Character Development 9/10
ความเป็นธรรมชาติของบทพูด 9/10
การแสดง/สีหน้า [Motion Cap] 10/10
Gameplay (8.8/10) Innovative (ระบบใหม่) 9/10
Feature 8/10
Core Gameplay 9/10
Content 10/10
Replayability 8/10
Level Design 9/10
Performance (8.2/10) คุณภาพของกราฟิก 8/10
ประสิทธิภาพในการแสดงผล 8/10
การออกแบบงานศิลป์ (Art Style) 10/10
เข้ากันได้กับสเปคที่แนะนำ 8/10
ไร้บัคกวนใจ 7/10
Sound Design (9.3/10) คุณภาพเสียงประกอบ (ดนตรี) 9/10
คุณภาพเสียงประกอบ (Effect) 10/10
เสียงพากย์ 9/10
Verdict (คะแนนรวม) 8.8/10
Game Review Rating
ยอดเยี่ยม ควรหามาลอง

Cronos: The New Dawn

8.8 / 10 คะแนน

Cronos: The New Dawn เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับ Bloober Team ได้เป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นว่า Survivor Horror ที่ดีมันเป็นยังไง การคารวะให้กับผลงานก่อนหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจนั้นทำได้ไม่เสียของ แต่ติดแค่ปัญหาเรื่องบั๊กในเกมเท่านั้น เอาเป็นว่าถ้าใครเป็นแฟนเกมแนวนี้ Cronos: The New Dawn เป็นอีกหนึ่งเกมที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งในปีนี้

แชร์เรื่องนี้:
Meltdown
Meltdown

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง