รีวิว Killing Floor 3

Killing Floor 3 ถือเป็นการกลับมาของเกมยิงแนว Co-op ยอดนิยม แต่การกลับมาในครั้งนี้กลับมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจไม่ถูกใจแฟนเกมดั้งเดิมที่อยู่คู่กับซีรีส์มานานถึง 16 ปี โดยเกมภาคนี้ได้ผันตัวจากเกมยิงเอาตัวรอดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไปสู่เกมแนว Live Service อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งถึงแม้จะมีการปรับปรุงในบางส่วน แต่การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างกลับทำให้เกมสูญเสียเสน่ห์และจิตวิญญาณดั้งเดิมไปอย่างน่าเสียดาย

Story - การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ แต่ถูกบดบังด้วยเกมเพลย์ (6.3)
เหตุการณ์ใน Killing Floor 3 ดำเนินขึ้นในปี 2091 หรือ 70 ปีหลังจากภาค 2 โลกตกอยู่ภายใต้การปกครองของ Horzine บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสุดชั่วร้าย ที่สร้างกองทัพ Zeds หรืออสูรกายกลายพันธุ์ขึ้นมา ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นกลุ่มต่อต้านมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่ชื่อว่า Nightfall ซึ่งมีผู้นำคือ Cordelia Clamely หลานสาวของหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Horzine ที่ได้เห็นความโหดร้ายของบริษัทมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน
ตัวละครในทีม Nightfall มีทั้งหมด 6 คนหลัก ได้แก่:

- Mr. Foster (คลาส Commando) พร้อมโดรนยิงระเบิด
- Devlin (คลาส Firebug) ที่สามารถสร้างระเบิดคลื่นเพลิงรอบตัว
- Luna (คลาส Sharpshooter) กับกระสุนชิ่งตามติดหัว
- Imran (คลาส Engineer) ผู้ใช้ปืนใหญ่คลื่นเสียง
- Nakata (คลาส Ninja) ที่ใช้ Grabbing Hook ในการดึงตัวเองเข้าไปโจมตีศัตรู
- Obi (คลาส Medic) ที่สามารถสร้างโดมฮีลเลือดขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ยังมีตัวละครใหม่ DJ Scully ที่จะมาพร้อมกับอัปเดตในอนาคต ซึ่งจะนำระบบ Perk และคลาสใหม่ Gunslinger กลับมา

ในภาคนี้ Horzine อยู่ภายใต้การควบคุมของ Dr. Moorcroft ผู้กำลังพัฒนา Zeds รุ่นใหม่ด้วยสารลึกลับที่เรียกว่า Mire ซึ่งเนื้อเรื่องจะถูกเล่าผ่านหลายช่องทาง ทั้งจากสภาพแวดล้อม ไฟล์เสียง และภารกิจเสริมจาก Cordelia ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่ามีเรื่องราวที่น่าติดตามมากกว่าแค่การยิง Zeds ไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปแบบเกมเพลย์ที่เน้นการเล่นเป็น Wave ทำให้เนื้อเรื่องกลายเป็นสิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือกที่จะมองข้าม และไปมุ่งเน้นที่การต่อสู้ที่ดุดันมากกว่าการติดตามเรื่องราวที่ต่อเนื่อง

การเล่าเรื่องในภาคนี้ทำผ่านหลายช่องทาง ทั้งจากสภาพแวดล้อมภายในเกม ไฟล์เสียง และคำแนะนำจาก Cordelia ระหว่างภารกิจ ซึ่งคล้ายกับ Trader Pods ในภาคก่อนๆ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่ามีเรื่องราวที่น่าติดตามมากกว่าแค่การยิง Zeds ไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปแบบเกมเพลย์ที่เน้นการเล่นเป็น Wave ทำให้เนื้อเรื่องกลายเป็นสิ่งที่ผู้เล่นบางกลุ่มเท่านั้นที่ให้ความสนใจ เนื่องจากส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ที่ดุดันและสนุกสนานมากกว่า
Gameplay - การตัดทอน และเพิ่มเติมในสิ่งที่แฟนไม่ต้องการ (6.3)
ในด้านเกมเพลย์ Killing Floor 3 มีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างน่าผิดหวังหลายอย่าง กลไกสำคัญหลายอย่างจากภาคก่อนถูกตัดออกไป และถูกแทนที่ด้วยระบบใหม่ที่ทำให้การเล่นยุ่งยากขึ้นโดยไม่จำเป็น เช่น:
- ระบบการฮีล: การฮีลถูกจำกัดให้ใช้กับตัวเองได้เพียง 3 ครั้งต่อรอบ และต้องซื้อเพิ่มเพื่อใช้กับเพื่อน หรือต้องเล่นเป็นคลาส Medic เท่านั้น
- Welder: กลไกการเชื่อมประตูเพื่อป้องกันการบุกรุกของ Zeds ถูกถอดออกไป
- ไอเทมในแมพ: ไอเทมต่างๆ ถูกแทนที่ด้วยล็อกเกอร์ที่ต้องใช้ Multi-Tool ในการปลดล็อค ซึ่งต้องซื้อมาตั้งแต่ต้นเกม
- ความยาวของเกม: การเล่นถูกลดเหลือเพียง 5 Wave บวกกับ Boss Wave ไม่มีระดับความยากแบบ Medium (7 Wave) หรือ Long (10 Wave) ให้เลือกอีกต่อไป
นอกจากนี้ การออกแบบฉากยังดูซ้ำซากและขาดความน่าจดจำอย่างเห็นได้ชัด และบทพูดของตัวละครก็จืดชืด ขาดเสน่ห์แบบร้ายๆ และน้ำเสียงแบบผู้ดีอังกฤษที่เคยเป็นเอกลักษณ์ในภาคก่อนๆ

ระบบใหม่ที่สำคัญคือ Specialist หรือระบบ Hero Shooter ที่มีตัวละครให้เลือก 6 คน ซึ่งทำให้เกมขาดความยืดหยุ่นของระบบ Perk แบบเดิม แม้ว่าทาง Tripwire Interactive จะประกาศว่าจะนำระบบ Perk กลับมา แต่แฟนๆ ก็ยังคงต้องรอคอยอีกนาน รวมถึงคลาสสำคัญๆ อย่าง SWAT, Berserker หรือ Gunslinger ที่หายไปก็ต้องรออัปเดตในอนาคตเช่นกัน อาวุธสำหรับแต่ละคลาสก็มีให้เลือกน้อยเพียง 4 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะและสัมผัสคล้ายคลึงกัน

อีกจุดที่น่าผิดหวังคือการออกแบบ Zeds ใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง The Thing และ Alien vs Predator แม้จะดูแปลกประหลาดและดุดันขึ้น แต่กลับสูญเสียความน่ากลัวแบบ Uncanny Valley หรือความน่าขนลุกที่มาจากความคล้ายคลึงกับมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ความรู้สึกของเกมคล้ายกับการเล่น Doom หรือ Shadow Warrior มากกว่า

อย่างไรก็ตาม เกมก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง เช่น การเคลื่อนไหวที่เพิ่มเข้ามาอย่างการ Zipline หรือ สไลด์ รวมถึงระบบอัปเกรดอาวุธ และการแต่งปืนที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งอาวุธให้เข้ากับสไตล์การเล่นของแต่ละคนได้
Performance - สภาวะของเกมที่ยังไม่สมบูรณ์ (6.6)
แม้ว่า Killing Floor 3 จะใช้ Unreal Engine 5 ที่ทำให้ภาพรวมดูทันสมัย แต่กลับมีปัญหาด้านกราฟิกและประสิทธิภาพหลายอย่าง เช่น:
- กราฟิก: เปลวไฟและเศษซากศพหายไปเร็วเกินไป รวมถึงปัญหาแสงและเงาที่ไม่สมบูรณ์
- ประสิทธิภาพ: เกมมีอาการ FPS ตกบ่อย และกระตุกเมื่อโหลดวัตถุใหม่หรือมีศัตรูจำนวนมาก แม้จะปรับกราฟิกต่ำสุดแล้วก็ตาม
- ระบบออนไลน์: ระบบ Matchmaking ไม่เสถียร มีอาการแลค และ Hit Registration ไม่แม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อเล่นข้ามภูมิภาคเซิร์ฟเวอร์
- บั๊ก: มีบั๊กที่น่าหงุดหงิดหลายอย่าง เช่น Zeds วาร์ป, ศัตรูเกิดติดฉาก หรือ Gadget ที่ทำงานผิดปกติ

พวกปัญหาต่างๆ เหล่านี้มันเลยทำให้ตัวเกม Killing Floor 3 ดูแย่เอาเสียมากๆ คือจะเรียกว่าตัวเกม จริงๆ ยังเป็น Early Access อยู่แต่ถูกเอาป้ายออก แล้วเนียนขายว่าเป็นตัวเต็มที่รอการอัปเดตเลยก็ว่าได้ เพราะมันเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ ถ้าทาง Tripwire Interactive ขัดเกลาตัวเกมให้ดีกว่านี้ แล้วพยายามหลีกห่างจาการใช้ Unreal Engine 5
Sound Design - จุดแข็งที่น่าชื่นชม (7.7)
หนึ่งในจุดที่โดดเด่นของ Killing Floor 3 คือ Sound Design และ ดนตรีประกอบ ที่ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ได้อย่างดี โดยเฉพาะเพลงแนว Industrial Metal ที่หนักแน่นและดิบ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกตึงเครียดและเข้าถึงบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่าง

- เพลงประกอบ: เพลงหลักของเกมแต่งโดย Rocky Gray พร้อมเพลงเด่นอย่าง "Nightfall Theme" และ "Search, Destroy, Repeat" รวมถึงการนำเพลงเก่าจากภาค 2 กลับมาใช้
- เสียงประกอบ: เสียงปืน ระเบิด และเสียงของ Zeds อย่าง Siren และ Fleshpound ถูกออกแบบมาได้หนักแน่นและสร้างความสะใจในการเล่นได้เป็นอย่างดี
- เสียงพากย์: แม้จะมีความหลากหลายทางภาษา แต่เสียงพากย์โดยรวมค่อนข้างจืดชืด และขาดเสน่ห์ ทำให้ไม่น่าจดจำเท่ากับบทพูดเสียดสีและอารมณ์ขันจากภาคก่อน
เสียงประกอบของศัตรูอย่าง Siren และ Fleshpound รวมถึงเสียงปืนและระเบิดก็ถูกออกแบบมาได้อย่างหนักแน่นและสะใจ แต่ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง เช่น เสียงปืนที่คล้ายคลึงกันเกินไป และเสียงเตือนการมาของศัตรูที่เบาจนบางครั้งไม่ได้ยิน

ในส่วนของเสียงพากย์ ตัวละครมีเสียงพากย์ที่หลากหลายภาษา แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับ "พอใช้" คือไม่ได้โดดเด่นหรือมีเอกลักษณ์เหมือนภาคก่อนๆ บทพูดค่อนข้างจืดชืด ขาดอารมณ์และเสน่ห์ที่เคยเป็นจุดเด่นของซีรีส์