ความพ่ายเเพ้ในวิดิโอเกม กับ พาราด็อกซ์ของความล้มเหลว

แชร์เรื่องนี้:
ความพ่ายเเพ้ในวิดิโอเกม กับ พาราด็อกซ์ของความล้มเหลว

สมมติคุณเล่นเกมหนึ่งอยู่ เเล้วผมถามคุณว่า “อยากจะชนะหรือเเพ้เกมมากกว่ากัน ? ” ผมเชื่อว่าคงจะไม่มีใครอยากจะเเพ้กันใช่ไหมละ (อาจจะมีบ้างเเต่น้อย) เพราะโดยธรรมชาติเเล้ว มนุษย์เราย่อมไม่อยากรู้สึกว่าตนอ่อนเเอ หรือยอมรับว่าตนเเพ้หรอก เเต่ถึงอย่างนั้น หากผมสร้างเกมขึ้นมาอันเป็นเกมที่คุณจะไม่มีวันเเพ้ในเกมนี้ คุณจะอยากเล่นเกมนี้ไหม ? เพราะเกมนี้คุณจะไม่ต้องมานั่งหัวร้อนกับความพ่ายเเพ้อีกต่อไป ซึ่งเเน่นอนว่า บางคนอาจจะอยากเล่น เเต่ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่เเล้วคงมองว่าเกมนี้มันง่ายจนน่าเบื่อ เเละคงเล่นได้ไม่นานเเน่นอน

เเต่ที่นี่คำถามคือ เเล้วทำไมเราถึงอยากเล่นเกมที่มันมีความเป็นไปได้ที่เราจะเเพ้กัน ทำไมเราถึงเเสวงหาเกมที่ท้าทาย เเละไม่อยากเล่นเกมที่มันง่ายจนเกินไป ต่างจากในชีวิตจริง ที่เรานั้นชอบอะไรง่าย ๆ อย่างเช่น การเรียนหรือการสอบที่เราอยากให้มันง่าย ๆ เข้าไว้ ดังเช่นที่คุณ Henry Jenkins ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสาร เคยกล่าวไว้ว่า

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เด็กจะบ่นเกี่ยวกับการบ้านคือมันยากเกินไป แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เด็กจะพูดเกี่ยวกับเกมคือมันง่ายเกินไป”

Henry Jenkins

พูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนมันมีความย้อนเเย้งอยู่ โดยคุณ Jesper Juul นักวิชาการด้านเกมได้นิยามไว้ว่ามันคือ พาราด็อกซ์ของความล้มเหลว ซึ่งมันเป็นความย้อนเเย้งของคนเรา ที่เเม้ว่าจะเกลียดหรือไม่อยากเจอความล้มเหลว (โดยเฉพาะความล้มเหลวในชีวิตจริง) เเต่เรากลับอยากเล่นเกมที่ทำให้เราพบเจอความล้มเหลวซะอย่างนั้น (ตรงนี้อาจจะคล้ายกับ เวลาเราดูหนัง ที่ในชีวิตจริงเราก็ไม่ได้อยากเศร้า ไม่ได้อยากเจอผี เเต่เรากลับเลือกเข้าไปดูหนังเศร้า หรือหนังผีซะอย่างนั้น) อย่างไรก็ตาม คุณ Juul ก็ได้วิเคราะห์ความย้อนเเย้งนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยเขามองว่า สิ่งที่ทำให้ความล้มเหลวในเกมมันพิเศษกว่า ความล้มเหลวในชีวิตจริง ก็คือ

1.เเม้ว่าความล้มเหลวในเกมจะทำให้เรารู้สึกว่าเรายังไม่เก่งพอ เเละทำให้เรารู้สึกเเย่ในบางครั้ง เเต่ถึงอย่างนั้น มันกลับทำให้เราอยากเล่นเกมต่อ ด้วยการจูงใจว่าหากเราพยายามมากพอ เราจะเอาชนะเกมนี้ได้ เเละเเก่นความสนุกของเกม จริง ๆ มันก็คือความรู้สึกหลุดพ้นจากความล้มเหลวเหล่านี้

2.ความล้มเหลวในเกม มันส่งผลกระทบน้อยกว่าชีวิตจริง เพราะในเกมหากเราล้มเหลว เราก็เเค่เล่นตาใหม่ หรือย้อนกลับไปจุดเซฟได้ เเต่ในชีวิตจริง มันไม่มีจุดเซฟเเต่อย่างใด ล้มเหลวเเล้วก็ล้มเหลวเลย ไม่สามารถย้อนกลับมาเเก้ไขได้เหมือนกับในเกม

3.เเละด้วยที่ว่าเกมมันสามารถให้เราย้อนกลับมาได้ มันก็เลยทำให้เราสามารถเเก้ตัวได้ตลอดเวลา หากเราเล่นเเย่ในตานี้ เราก็สามารถเเก้ตัวด้วยการเล่นตาใหม่ได้ทันที อันทำให้ความรู้สึกเเย่ ๆ นั้นสามารถถูกเเก้ไขได้ง่ายกว่าในชีวิตจริง

เเละด้วยความพิเศษเหล่านี้ ไม่ว่าจะเรื่องผลกระทบที่น้อยกว่าในชีวิตจริง เเถมกลับมาเเก้ไขได้เรื่อย ๆ มันก็เลยทำให้เวลาเราเล่นเกม ความล้มเหลวมันไม่เหมือนกับความล้มเหลวจริง ๆ ในทำนองเดียวกับเวลาเราดูหนังเศร้า ที่ก็ไม่เหมือนกับเวลาเราเศร้าจริง ๆ รวมถึงเกมมันยังทำให้เรารู้สึกฟินที่ได้หลุดพ้นจากความล้มเหลวเหล่านี้ด้วย ดังนั้นมันจึงไม่เเปลกที่ เราจะเกลียดความล้มเหลว เเต่กลับชอบเล่นเกมที่ประทานความพ่ายเเพ้มาให้เราครับ

Jesper Juul

อ้างอิง : The Art of Failure: An Essay on the Pain of Playing Video Game

แชร์เรื่องนี้:
Trollนะคะ
Trollนะคะ

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง