รีวิว Donkey Kong Bananza - การกลับมาของ DK

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว Donkey Kong Bananza - การกลับมาของ DK

 

Story - เนื้อเรื่องเบาสมอง กับเคมีสุดลงตัวที่ขโมยซีน (8.0)

เนื้อเรื่องของ Donkey Kong Bananza ไม่ได้เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากนัก จากการวางตัวของ Nintendo ที่อยากให้มันเป็นเกมเรท E โดยจะว่าด้วยเรื่องของดองกี้คองของเราได้ออกเดินทางไปยังเกาะอินก็อต ที่กำลังอยู่ในช่วงการตื่นทองครั้งใหญ่ ตัวเอกของเราเองก็ได้เดินทางไปเกาะนี้เพื่อเข้าร่วม แต่แล้วก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่บริษัทขุดแร่ผู้ชั่วร้ายอย่าง VoidCo. ที่นำโดยตัวร้ายอย่าง Void Kong และลูกน้องทั้งสองตัวอย่าง Grumpy Kong ที่ผมแทบจะลืมชื่อมันไปแล้ว เพราะโดนรัศมีของลูกน้องอีกคนกลบหมดอย่าง Poppy Kong ทั้งสามได้ทำการขโมยกล้วยทั้งหมดไป เพื่อใช้เป็นพลังงานให้กับยานของพวกเขา เพื่อที่จะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งตัวดองกี้คองและกองทัพลิงของเราก็ถูกลูกหลงของ VoidCo ทำให้ตกมายังใต้ดิน และเราก็ออกเดินทางเพื่อเอากล้วยคืนมา แน่นอนล่ะ ของโปรดของดองกี้ ซึ่งระหว่างทางดองกี้คองก็ได้ไปเจอกับก้อนหินมีชีวิตปริศนาก้อนหนึ่ง ซึ่งภายหลังดองกี้คองก็พบว่า ก้อนหินก้อนนั้นเป็นเด็กสาวเสียงใสตัวเล็กตัวน้อยอย่างพอลลีน ที่ถูกลูกหลงพัดลงมายังใต้โลกครั้งนี้ด้วย พอลลีนต้องการที่จะกลับสู่บ้านเกิดของตัวเอง หรือก็คือบนพื้นโลก และดองกี้คองต้องการจะนำกล้วยกลับคืนมา จึงได้ออกเดินทางร่วมกัน เพราะพวกเขาจะต้องลงไปยังแกนโลก เพื่อจัดการปัญหาทุกๆ อย่าง เอาจริงๆ เราดูจากเป้าหมายของตัวเอกทั้งสองนั้น ก็จะพบว่า มันเป็นการดำเนินเรื่องแบบทั่วไป ที่ไม่ได้หนักสมองมากนัก เป็นเกมที่เอาไว้ผ่อนคลายเป็นหลัก

แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อหาของเกมสนุกขึ้นเรื่อยๆ คือการคลายปมของพอลลีนเองนี่แหละ เพราะตัวเธอเป็นคนที่มีเสียงอันไพเราะก็จริง แต่ก็มีปัญหากับการร้องเพลงต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แต่ตรงนี้ก็น่าเสียดายนิดนึงที่ตัวของดองกี้คองของเรานั้น ไม่ได้มีการพัฒนาตัวละครขึ้นเลย เหมือนเน้นเนื้อหาไปที่พอลลีนเสียมากกว่า กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เกมน่าเบื่อ เพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูจะสนิทสนมแน่นแฟ้นขึ้นตามการเวลาของ Progress Game ที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ผสมกับมุกตลกเล็กๆ น้อยๆ จากพอลลีนที่เราได้พบเจอตามเกม

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ผมโฟกัสกับเกมนี้มากๆ เลยคือเคมีระหว่างตัวพอลลีนกับดองกี้คองนี่แหละ ที่บอกเลยว่า มันน่ารักมาก ระหว่างเล่นนี่ผมลั่นขึ้นเองบ่อยมากๆ ว่า "น่ารักจัง" อันนี้ใครจะว่าอวยก็ได้ เพราะส่วนตัว ในไลน์คาแรคเตอร์ของ Nintendo นี่ผมก็ชอบดองกี้คองอยู่แล้ว แต่ถ้าใครไปเล่นเองแล้วก็น่าจะพอรับรู้ถึงความน่ารักของทั้งคู่ได้อยู่แล้วล่ะ

นอกจากนี้แล้ว การดำเนินเรื่องราวของเกม ก็เป็นไปแบบเนิบๆ จะมีแค่ช่วงแรกที่พอให้เราตื่นเต้นแล้วอยากเรียนรู้เซ็ตติ้งของโลกเท่านั้น แต่พอหลังจากที่มีการเฉลยปม หรือว่าการบอกเป้าหมายของตัวละครทั้งสองแล้ว เนื้อเรื่องแทบจะไม่เดินเลย มันถูกดำเนินไปแบบเป็นแพตเทิร์นมากๆ เราลงไปพื้นที่ใหม่ พบตัวละครใหม่ๆ อธิบายเซ็ตติ้งเมืองของพวกเขา แต่พวกเขาเจอปัญหาจาก VoidCo เราแก้ แล้วก็พวกเขาขอบคุณ แล้วเราก็ลงไปชั้นต่อไป วนสลับกันมาแบบเดิม เอาจริงๆ ตอนแรกคือผมก็ค่อนข้างเซ็งพอสมควรกับเนื้อเรื่อง แต่พอมาช่วงท้ายนี่แหละ ที่ทำให้ตัวเกมตื่นเต้นขึ้นเยอะ มีการล้างปมเก่า สร้างปมใหม่ ทำให้เรารีเฟรชขึ้นได้เยอะเลย แต่ก็นั่นแหละ มันก็ยังคงเป็นเนื้อเกมแบบนินเทนโดอยู่ดี ที่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก

Gameplay -  เกมเพลย์ที่นิยามคำว่า 'ความสนุก' ได้ดีที่สุด (9.5)

ถ้าถามผมว่า จะให้ขายอะไรเกี่ยวกับ Donkey Kong ภาคนี้หน่อย ผมก็คงสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่ามันคือเกมเพลย์ ความพิเศษของ Donkey Kong Bananza คือระบบการเล่นที่สร้างลูป (Loop) ที่ดึงเราเข้าไปแล้วทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย คือมันไม่ใช่เกมที่ทำให้ผมมานั่งคิดถึงมันตลอดเวลาตอนทำอย่างอื่น หรือทำให้ผมมานั่งเล่นมันต่อไปแบบเรื่อยๆ แบบ ขออีกด่านนึงก่อนแล้วค่อยพัก แต่มันดึงดูดผมในรูปแบบที่ทำให้เวลาหยุดเดินและทุกอย่างที่สำคัญมีแค่การต่อยกับการกระโดด เท่านั้น มันไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสนุก’ แต่เพียงเท่านั้น

หัวใจของ Bananza คือปรัชญาที่สวนทางกับกระแสโลก ในยุคที่เกมส่วนใหญ่เชิดชูการ "สร้าง" Nintendo กลับยื่นค้อนปอนด์แห่งการ "ทำลาย" ให้กับผู้เล่น นี่ไม่ใช่แค่การพังอิฐบล็อก แต่คือการมอบอำนาจให้เราทลายภูเขาทั้งลูก ขุดอุโมงค์ทะลวงแผ่นดิน และเปลี่ยนภูมิประเทศให้เป็นเพียงเศษซากด้วยกำปั้นของ DK เราจะได้ทุบทุกอย่างที่ขวางหน้า ความสะใจระเบิดตลอดเวลาเล่น ถึงแม้ว่าการทำลายล้าง จะไม่ใช่สิ่งใหม่ในวิดีโอเกม แต่การที่ Donkey Kong Bananza ทำให้การทำลายล้างนั้นสนุกนั่นก็เป็นเพราะว่า ไม่ว่าเราจะทำลายอะไรไปก็ตาม เราจะได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ เสมอตลอดการเล่น เราเผลอขุดตรงนี้ เราเจอกล้วยให้เก็บ เรากระโดดทำลายตรงนั้น เราเจอกล่องสมบัติที่เต็มไปด้วยทอง หรือวิ่งเฉียดไปตรงนั้น เราก็บังเอิญเจอฟอซซิล สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดทั้งการเล่นเกม 20 ชั่วโมงกว่าๆ ของผม จะมีแค่บางช่วงไม่กี่นาทีเท่านั้นที่ไม่เจออะไรแบบนี้

ระบบการเล่นนี้มีความลึกซึ้งกว่าที่เห็น มันคือ "ลำดับชั้นของวัสดุ" ที่หินทุบดิน คอนกรีตแกร่งกว่าหิน และออบซิเดียนคือที่สุดแห่งความแข็งแกร่ง ปฏิสัมพันธ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การไขปริศนาเพื่อเปิดทาง แต่ยังหลอมรวมเข้ากับการต่อสู้ ศัตรูที่หุ้มด้วยหนามมือของดองกี้คองไม่อาจสัมผัสได้ แต่กลับแหลกสลายได้ด้วยก้อนหิน ศัตรูที่สร้างจาก "หินระเบิด" ก็กลายเป็นอาวุธเดินได้ในทันที มันคือระบบนิเวศแห่งการทำลายที่เปิดกว้างให้เราคิดนอกกรอบ แต่ก็ยังอยู่ในความเป็นจริง เราเจอทาก เราใช้เกลือสู้กับมันเพื่อสร้างความได้เปรียบก็ยังได้ วัสดุบางอย่างอ่อนนุ่มและชุ่มไปด้วยน้ำ ทำให้มันมีความสามารถพิเศษในการเกาะวัตถุใดๆ ก็ตามที่มันไปสัมผัส ทำให้เราสามารถสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองได้ นี่ยังไม่ได้นับไอเทมชนิดพิเศษที่เจอได้ในฉากบางฉาก อย่างพวกเมล็ดพืชที่เวลาเราปาไปยังปลายทาง มันจะสร้างสะพานเถาวัลย์ให้กับเรา หรือแม้กระทั่งหินสายรุ้งแปลกประหลาด ที่เวลาเราหยิบจับมันขึ้นมา มันจะพาเราพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อช่วยให้เล่นแพลตฟอร์มได้สนุกมากยิ่งขึ้น

กระนั้นศัตรูของเราก็ดูเหมือนจะจืดไปสักเล็กน้อย เมื่อเกิดการใช้ซ้ำเยอะมาก ตั้งแต่ศัตรูทั่วไปจนถึงบอสที่เราจะต้องสู้ด้วยหลายครั้ง แต่นินเทนโดก็แก้ปัญหาความซ้ำซาก ด้วยการเปลี่ยนวัสดุหุ้มตัวละครที่เราต้องสู้ด้วย ทำให้เราต้องคิดคำนึงว่าเราจะสู้กับมันยังไง ตัวนี้เราจำเป็นจะต้องใช้วัสดุอะไรในการสู้บ้าง แต่ก็นั่นแหละ มันแตกต่างกันแค่วัสดุที่เราใช้สู้ แต่วิธีการสู้แทบจะเหมือนเดิมทุกอย่าง ทำให้การต่อสู้ในเกมอาจจะดรอปไปบ้างระหว่างการเล่น ควบรวมกับการต่อสู้ตลอดทั้งเกมที่ดูเหมือนจะง่ายไปสักเล็กน้อย สำหรับใครก็ตามที่เป็นเกมเมอร์ที่โชกโชนไปด้วยประสบการณ์ แต่ต้องไม่ลืมว่า เกมมันถูกดีไซน์มาให้ใครเล่นก็ได้ ถ้าคุณมีลูกหลาน เกมนี้ก็เหมาะจะให้พวกเขาเล่น เพราะว่ามันไม่ได้ยากเกินไป และไม่ว่าใครก็สามารถเอนจอยมันได้จริงๆ

ถ้าพูดถึงการต่อสู้แล้วจะขาดเรื่อง Challenge ในเกมไปไม่ได้ ด้วยการออกแบบด่านภายใน Challenge ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ถ้าใครเคยผ่าน Shrine ใน Zelda Breath of the Wilds และ Tears of the Kingdom มาแล้วจะคุ้นๆ กับด่านในลักษณะเดียวกันแต่จะง่ายกว่ามาก ที่ผมหยิบยก Shrine ขึ้นมา หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วย เพราะ Challenge มันไม่ได้เป็นแค่แนว Puzzle เท่านั้น แต่ที่หยิบยกขึ้นมาเทียบ เพราะว่ามันเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ทำการผ่านด่านโดยวิธีการที่ไม่ต้องตรงตามที่เขาออกแบบมาก็ได้ เราสามารถสลับเอาวิธีของตัวเองขึ้นมาลองผิดลองถูกได้แบบเต็มที่ ไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีที่ถูกต้องก็สามารถผ่านไปได้ ทำให้การเล่น Challenge แต่ละอันในเกมนี้มันเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินจากการได้ลองอะไรใหม่ๆ ที่เรารู้แหละว่าวิธีนี้ มันไม่ใช่วิธีที่ผู้พัฒนาเขาคิดมา แต่ว่า เขาก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เราทำนั่นเอง บางด่านอาจจะให้เราบินไป แต่เราก็สามารถหยิบเอาทรายสร้างสะพานไปแทนก็ได้ บางวิธีอาจจะเร็วกว่าวิธีปกติ แต่บางครั้งก็อาจจะลำบากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ มันทำให้ผมได้สนุกกับการหาวิธีการผ่าน ที่ไม่ติดอยู่กับวิธีคิดเดิมๆ

Donkey Kong Bananza ชื่อพ่วงท้ายที่เหมือนจะเป็นแค่ชื่อภาค แต่จริงๆ มันเป็นระบบที่เอาไว้ชูโรงในภาคนี้ ภายในเกมเมื่อเราดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ เราจะได้พบกับผู้เฒ่าของเผ่าสัตว์ป่าแต่ละเผ่า และเมื่อทำภารกิจเสร็จ พวกเขาจะมอบพลังที่ชื่อว่า Bananza ให้กับเรา เมื่อเราทำการทุบอกพร้อมกับให้พอลลีนร้องเพลงประกอบ เราจะสามารถแปลงร่าง Bananza เป็นเผ่าสัตว์ป่าอื่นๆ ได้ ตั้งแต่คิงคองยักษ์ ม้าลาย นกกระจอกเทศ ช้าง และงู โดยแต่ละร่างก็จะมีความสามารถพิเศษของตัวเองแตกต่างกันไป ซึ่งตามปกติแล้วความสามารถพิเศษเหล่านี้ ก็จะช่วยในการผ่าน Puzzle ต่างๆ ภายในเกม หรือไม่ก็ช่วยเคลียร์ฉาก หรือข้ามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งร่างเหล่านี้ก็จะมี Skill Tree ให้อัปด้วย แต้มก็จะได้จากการเก็บกล้วยภายในเกมที่เดี๋ยวไปว่ากันอีกที คือร่างบานันซ่า มันทำให้เกมสนุกขึ้นมากๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วมันเพิ่มพลังในการทำลายฉากให้กับเราอย่างมหาศาล จากที่เราสะใจจากการทำลายฉากอยู่แล้ว ร่างพวกนี้ก็ช่วยให้มันสนุกขึ้นไปอีก แต่บางร่างมันกลับจืดสนิท นอกจากทำให้ผ่าน Puzzle ได้แล้ว มันก็แทบไม่มีประโยชน์ในการเล่นเลย ซึ่งอันนี้น่าจะเป็นการบาลานซ์ความสามารถที่ออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้บางร่าง เราไม่อยากจะแปลงเลยถ้าไม่ใช่เพื่อผ่าน Puzzle

ผมยังมีเรื่องจุกจิกอยากจะบ่นอีก นอกจากเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เมื่อรวมกันแล้วทำให้รู้สึกว่า Bananza เฉียดฉิวจากการเป็นสุดยอดเกมระดับตำนานไปนิดเดียว ตัวอย่างเช่นการทำลายล้างฉากที่มีปัญหา หมายความว่าบางครั้งมันจะเหลือเศษวัสดุชิ้นเล็กๆ อย่างลาวา ทิ้งไว้ ซึ่งการที่จะทำลายอะไรแบบนี้ มันเล็งได้โคตรยาก เพราะขนาดเล็งตรงๆ แล้วมันยังทำลายไม่ได้ นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการเล่นส่วนใหญ่ แต่ในช่วงท้ายเกมมันมีพื้นที่อันตรายสุดๆ ที่ผลาญเลือดเราเยอะมาก ถ้าคุณพลาดไม่เห็นเศษเล็กๆ พวกนี้แล้วเดินเข้าไปกลางคันตอนสู้บอส... อ้าว ตาย! ทำให้เซ็งมาก

กลับมาสู่เรื่องกล้วยๆ ของดองกี้คองที่ผมติดเอาไว้ นี่คือจุดเด่นที่สุดของเกมนินเทนโดในยุคหลังๆ เลยก็ว่าได้ ในเกมนี้จะมี Collectible ให้เก็บอยู่หลายอย่าง ทั้งทองสำหรับการซื้อของ เหรียญอะไรสักอย่าง เอาไว้แลกของ ฟอซซิล เอาไว้ซื้อเสื้อผ้าและอัปเกรดเสื้อผ้า กล้วยสำหรับการเพิ่มแต้มสกิล เมื่อสะสมครบ 5 ลูกแล้ว และแผ่นไวนิลเพลง สำหรับเก็บเอาไว้ฟังตอนหลัง สิ่งเหล่านี้มันเยอะแบบ เยอะมหาศาล ทำให้ Post Credit ของเกมมันมีอะไรให้ทำเยอะมากๆ เราสามารถผลาญเวลาได้แบบสุดๆ โดยเฉพาะ Challenge ท้ายเกมที่ท้าทายมากๆ ให้เราเล่น ใครอยากที่จะเล่นเกมแบบ 100% นี่บอกได้คำเดียวว่างานหินมากๆ

อย่างสุดท้ายที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งข้อเสียทางด้านของเกมเพลย์ ที่อาจจะไม่ได้มีปัญหามากนัก นั่นก็คือเรื่องของมุมกล้อง ตัวเกมเป็นเกม Action Platform 3 มิติ ที่มีทั้งกว้าง ยาว ลึก และเล่นกับการทำลายล้างฉาก การขุดทะลุฉาก ดังนั้นตลอดทั้งการเล่นของเรา จะจำเป็นจะต้องเข้าไปอยู่ในที่แคบๆ เสมอ ซึ่งจริงๆ ตัวเกมก็แก้ปัญหาได้ดี คือตอนที่เราเข้าไปในที่แคบๆ ที่มี Object อื่นๆ บัง กล้องจะทะลุฉากไปเลยให้เราเห็นห้วงดำๆ มืดๆ นั่นแหละ ทำให้เราไม่รู้สึกอึดอัด แต่ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ บริเวณรอบๆ ของเรา ‘เป็นพื้นที่ ที่เราสามารถทำลายได้’ เท่านั้น ถ้าเป็น Object แข็งๆ ที่เราไม่สามารถทำลายได้ หรือที่ฉากบังคับ มุมกล้องจะบีบเราเข้ามาทำให้อึดอัด และเกิดอาการ Motion Sickness แบบไม่จำเป็นตลอดการเล่น ถามว่ากรณีแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยไหม ก็ไม่ได้บ่อยมาก แค่ผมรู้สึกว่า ไหนๆ มันก็ทะลุ Object ที่ทำลายได้ ได้แล้ว ทำไมไม่ทำแบบนี้ให้หมดไปเลย เพราะผมถามจากเพื่อนรอบๆ ตัวที่อาจจะไม่ได้เล่นเกมบ่อยนัก แทบทุกคนก็เกิดอาการเวียนหัวกันเกือบหมด เอาจริงๆ ขนาดผมที่ค่อนข้างชินกับพวกกล้องเหวี่ยงๆ บางจังหวะยังแอบเวียนหัวเสียเองด้วยซ้ำ

Performance -  พลังของเจนใหม่ที่มาพร้อมกับอาการสะดุดเล็กน้อย (9.0)

เครื่อง Generation ใหม่อย่าง Nintendo Switch 2 เพิ่งออกมายังไม่ถึงเดือนดีในบ้านเรา และให้พูดตามตรงก็คือ มันไม่ค่อยมีเกมอะไรที่น่าดึงดูดใจมากนัก จนกระทั่ง Donkey Kong Bananza ได้วางจำหน่ายนี่แหละ คนก็คาดหวังว่ามันจะเป็นหนึ่งในเกมเรือธงของ Nintendo ที่ช่วยผลักดันเครื่อง Switch 2 ในแบบเดียวกันกับ Zelda และ Mario Odyssey ที่ผลักดันเครื่อง Switch รุ่นแรก ซึ่งตัวเกม Donkey Kong Bananza ก็ได้รับการพัฒนาจากทีมที่ทำ Mario Odyssey ด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาเริ่มทดสอบเกมตั้งแต่หลังการสร้าง Mario Odyssey เลย พวกเขาเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการใช้เอนจิ้นเดียวกันกับ Mario Odyssey ด้วยการใส่กุมบ้ามีมือ ที่สามารถทำลายสิ่งของในฉากหรือว่าเอามาใช้เป็นอาวุธได้แบบเดียวกับเกมนี้นี่แหละ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกเรียกว่าว็อกเซล (Voxel) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถกำหนดรูปลักษณ์และวัสดุของแต่ละส่วนของภูมิประเทศได้อย่างอิสระ

กราฟิกของ Donkey Kong Bananza จะใช้สไตล์ Stylized 3D ที่เน้นความสดใสและมีชีวิตชีวาคล้ายกับพวกหนังอนิเมชันสมัยใหม่ รวมถึงที่เราเคยเห็นใน Mario Odyssey ด้วย ซึ่งผลที่ออกมาคือ ตัวเกมมีสีสันสดใสและจัดจ้านอย่างมาก สีสันมันมีความอิ่มตัวสูง ทำให้เกมมันดูสดใสอยู่ตลอดเวลา และดึงดูดสายตาผู้เล่น ผสมรวมกับโมเดลตัวละครที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นโมเดลแบบ 3 มิติก็เถอะ ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นปรัชญาดั้งเดิมของนินเทนโดอยู่แล้วด้วย ทำให้เวลาที่เราเล่นเกม เราจะรู้สึกถึงความสดใสตลอดเวลา ซึ่งมันก็เข้ากันกับธีมของตัวละครทั้งดองกี้คองและพอลลีนได้เป็นอย่างดี และตลอดเวลาในการเล่นของผมในเกมนี้ คือมันมีความรู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เสมือนกับตอนที่ตื่นเต้นที่ได้เล่น Donkey Kong Country เป็นครั้งแรก

ทางด้านประสิทธิภาพของตัวเกม ที่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของเกมนี้เลยก็ว่าได้ ตัวเกมที่รันบน Nintendo Switch 2 Dock Mode บนจอ 4k สามารถทำ FPS วิ่งได้ถึง 60FPS ซึ่งก็ถือว่าน่าประทับใจสำหรับผมเอง แต่มันก็มีปัญหาตรงที่ เฟรมเรตมันร่วงตลอดเวลาระหว่างการเล่น โดยเฉพาะเวลาที่เราทำลายฉากแบบรัวๆ ในพื้นที่ที่มี NPC อยู่เยอะหน่อย เราจะเห็นเฟรมดรอปแบบค่อนข้างชัดเจน และอาการดังกล่าวจะเป็นหนักสุด ก็คือตอนที่เราเปิดแผนที่ในเกมนี่แหละ ที่ FPS น่าจะร่วงไปถึง 30 เลย ขนาดที่ตัวผมเองไม่ได้เป็นคนซีเรียสกับ FPS มากนัก สามารถเล่นเกม 30FPS ได้แบบสบายๆ ก็ยังรู้สึกขัดหูขัดตาตลอดเลย แต่ก็ยังดี ที่อาการเหล่านี้ มักจะแสดงในพื้นที่เฉพาะ หรือว่าการเปิดแผนที่เท่านั้น ที่เราไม่จำเป็นจะต้องออกแอ็กชันใดๆ ในการเล่นเลย เลยพอจะให้อภัยได้อยู่บ้าง

ส่วนปัญหาอื่นๆ ทางด้านการแสดงผล ต้องบอกว่าแทบไม่เจอเลย มีอยู่แค่ครั้งเดียวที่พอจะเป็นรูปธรรมบ้าง ก็คือจะมีการบั๊กของ Texture แบบภาพกระพริบอยู่นิดนึง แต่ก็อย่างว่ามันเป็นแค่ครั้งเดียวที่ผมเจอ แถมอยู่ในด่าน Challenge ด้วย ดังนั้นผมว่าตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเสียเท่าไหร่

ทางด้านบั๊กของเกมนี้ ต้องบอกว่าเกมนี้ถูกขัดเกลาเรื่องนี้มาได้เป็นอย่างดี เพราะตลอดการเล่นของผมในระยะเวลาเกือบ 30 ชั่วโมงนั้น ผมไม่เจอบั๊กเลยแม้แต่อันเดียว นี่น่าจะเป็นเกมแรกของผมในปีนี้ ที่ตลอดทั้งการเล่นนั้นสบายใจแบบมากโขเลย ก็ถือเป็นที่ยืนยันแล้วว่า 8 ปีที่เขาทำเกมมา พวกเขาเก็บรายละเอียดได้อย่างดีจริงๆ

Sound Design -  เมื่อเสียงเพลงคือหัวใจของการผจญภัย (9.5)

เนื้อหาของเกมภาคนี้ อย่างที่เราได้ว่าไปว่ามันเน้นการทำลายล้างจาก Donkey Kong ที่ดูเป็นสัตว์ป่าดุดัน แต่พอลลีนเองก็เป็นนักร้องเสียงใส ดังนั้นมันก็คงไม่แปลกนักที่ Element ตรงส่วนนี้จะถูกเน้นย้ำให้เด่นชัดขึ้นเป็นพิเศษ ดนตรีประกอบฉากที่เป็นธีมในแต่ละด่านนั้นทำออกมาได้ดีเยี่ยมมากๆ ช่วยปรับมู้ดและโทนให้กับฉากนั้นๆ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด่านหลังๆ ที่เปลี่ยนธีมออกแบบแนวอึมครึมๆ หน่อยนี่ผมบอกเลยว่าได้ยินครั้งแรกมีขนลุก แต่อันนี้คงจะเอามาให้ฟังไม่ได้เพราะว่ามันจะสปอย ถ้าถามผมว่าเพลงไหนเป็นไฮไลท์ ก็น่าจะเป็นเพลงธีมของ Lagoon Layer นี่แหละ ที่มันฟังดูแล้วคลาสสิกมากๆ รวมถึงในเกมก็จะมีให้เก็บแผ่นไวนิลสำหรับการเปิดเพลงฟังก่อนนอนด้วย แล้วพวกเพลงก่อนนอนเหล่านี้ก็จะใส่ฟิลเตอร์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับฟังเพลงจากเครื่องเสียงโบราณๆ อยู่นิดนึง ทำให้เกิดความรู้สึก Nostalgia มากๆ เลย

หนึ่งในเสียงดนตรีที่ผมรู้สึกว่าเป็น Top Chart ของเกมนี้เลยก็คือ เพลง Bananza ของพอลลีน ที่บอกเลยว่าสนุกมาก แบบมันดันอารมณ์ตอนแปลงร่างได้เป็นอย่างดี ทำให้ทุกครั้งที่แปลงร่าง หรือได้ยินเสียงเพลงของพอลลีน คุณจะต้องมีแอบโยกไหล่บ้างแหละ เพราะแต่ละเพลงนั้นเป็นเพลงจังหวะแด๊นซ์มันส์ๆ ทุกเพลง อย่าง Kong Bananza จะเป็นเพลงแนว Glam หรือ Arena Rock ที่เป็นจังหวะมันส์ๆ เดือดๆ หน่อย Zebra Bananza จะให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับ Samba หรือไม่ก็ออกแนวเพลงทางแอฟริกันหน่อยๆ เลยให้ความรู้สึกแบบชนเผ่าที่อยู่กับสัตว์เป็นพิเศษ นกกระจอกเทศนี่กลายเป็นเพลงแนว Punk Rock มันส์ๆ ไปเลย ส่วนช้างนี่เสียดายนิดนึงที่ไม่เป็น 3 ช่า แต่ความเป็น Jazz Rock ก็ทำให้รู้สึกสนุกได้อย่างมาก และสุดท้ายอย่าง Snake bananza ที่เป็นเพลง Trap ให้อารมณ์คล้ายๆ กับ K-Pop ในบางมุม

นอกจากเพลงที่เป็น Original ของภาคนี้แล้ว ในตัวเกมก็ยังมีการใส่เพลงจากเกมภาคเก่าๆ เข้าไปเพียบ โดยเพลงเหล่านี้ก็มักจะโผล่ในด่าน Challenge เลยทำให้ระหว่างการเล่นผมคิดถึงเกมภาคเก่าๆ ซะจนน้ำตารื้นๆ เลย

Sound Effect สำหรับ Donkey Kong Bananza นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นเดียวกัน การทุบทำลายหินหรือว่าพื้นที่ต่างๆ ในเกมนั้น จะให้เสียงที่แตกต่างกันไป การทุบหินเราจะได้ยินเสียง Crack ของหินแต่ละก้อน แต่ถ้าหากไปทุบดินเราจะรู้สึกถึงความนุ่มและน้ำหนักการกระแทกจะเบากว่าอย่างเห็นได้ชัด ตรงนี้เอาจริงๆ เวลาเล่นเราแทบไม่ได้สังเกตหรอก ถ้าไม่มานั่งเงี่ยหูฟัง แต่การที่ Sound Effect นั้นกลืนไประหว่างการเล่น และไม่ขัดหูขัดตาเรา ก็ช่วยบูสต์อารมณ์ในการเล่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงพวกเสียงระเบิดหรือการอัดศัตรูให้กระเด็นเองก็ทำให้สะใจมากๆ ด้วยเช่นกัน

คะแนนรีวิวแบบละเอียด

หมวดหมู่ หัวข้อย่อย คะแนน
Story (8/10) วิธีเล่าเรื่อง 7/10
ความเข้ากันกับเนื้อเรื่อง 7/10
Character Development 8/10
ความเป็นธรรมชาติของบทพูด 10/10
Gameplay (9.8/10) Innovative (ระบบใหม่) 10/10
QoL 10/10
Core Gameplay 10/10
Content 10/10
Replayability 10/10
Level Design 8/10
Performance (9/10) คุณภาพของกราฟิก 10/10
ประสิทธิภาพในการแสดงผล 7/10
การออกแบบงานศิลป์ (Art Style) 9/10
บั๊ก 10/10
Sound Design (9.3/10) คุณภาพเสียงประกอบ (Music Score) 9/10
คุณภาพเสียงประกอบ (Effect) 10/10
เสียงพากย์ 9/10
Game Review Rating
เกือบสมบูรณ์แบบ ควรค่าแก่การเล่น

Donkey Kong Bananza

9.0 / 10 คะแนน

Donkey Kong Bananza คือหนึ่งในเกมนินเทนโดนยุคใหม่ที่เล่นแล้วติดพัน สะใจตลอดทั้งการเล่น ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องจะดรอปไปบ้างเช่นเดียวกับเฟรมเรตของเกม แต่ถ้าหากคุณมีเครื่อง Nintendo Switch 2 แล้วยังไม่ได้เล่นเกมนี้ล่ะก็ คุณอาจจะพลาดของดีไป เพราะนี่สมควรเป็นหนึ่งในเกม Launch Title ที่เอาไว้ชูขายเครื่อง Nintendo Switch 2 ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนเวียนหัวง่ายกับเกมประเภท 3 มิติก็ตามทีเถอะ เพราะนี่น่าจะเป็นอีกเกมที่ได้เข้าชิง Game of the Year ในปีนี้

แชร์เรื่องนี้:
Meltdown
Meltdown

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง