รีวิว Mafia: The Old Country - การกลับมาในรสชาติใหม่ที่แตกต่าง

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว Mafia: The Old Country - การกลับมาในรสชาติใหม่ที่แตกต่าง

 

Story - จากทาสในเหมืองกำมะถัน สู่เส้นทางสายมาเฟีย (8.8)

จุดเริ่มต้น ณ ก้นบึ้งของเหมืองนรก 
เรื่องราวของ Mafia: The Old Country จะพาเราย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ณ เกาะซิซิลี ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนที่งดงามราวภาพวาด แต่เบื้องหลังความงามนั้นคือความโหดร้ายและความยากจนที่กัดกินไปถึงกระดูก ที่ซึ่งเกียรติยศและคมมีดคือสิ่งตัดสินชะตาชีวิต และที่นี่เองคือจุดกำเนิดขององค์กรอาชญากรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่างมาเฟีย โดยเรื่องราวจะนำเราไปสู่เมืองสมมติที่ชื่อว่า 'ซาน เซเลสเต' (San Celeste) ในปี 1904 ณ ก้นบึ้งของเหมืองกำมะถัน ที่ซึ่งแสงตะวันเป็นเพียงความฝัน และอากาศที่หายใจเข้าไปเต็มไปด้วยฝุ่นพิษ ที่นี่เราจะได้รู้จักกับ 'เอ็นโซ ฟาวารา' (Enzo Favara) เด็กหนุ่มผู้ถูกลิขิตให้เป็น 'คารูซู' (carusu) หรือแรงงานทาสเด็ก ที่ชีวิตถูกตีค่าด้วยแร่สีเหลืองที่ขุดขึ้นมาในแต่ละวัน ภายใต้การกดขี่ของนายเหมืองสุดโหด 'ดามิอาโน บาสโตนี' หรือที่รู้จักกันในฉายา 'อิล แมร์โล' (Il Merlo) เอ็นโซและสหายเพียงคนเดียวของเขา กาเอตาโน่ ได้วาดฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า และวางแผนที่จะหลบหนีออกจากนรกใต้ดินแห่งนี้ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกอย่างโหดร้าย แผนการของพวกเขาล้มเหลวเมื่อถูกบังคับให้ไปตามหาคนงานใต้เหมืองชั้นที่ลึกจนอันตราย และเกิดเหตุแก๊สรั่วจนเหมืองถล่มลงมา ความฝันที่จะหลีกหนีไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าต้องพังทลายลงพร้อมกับอุโมงค์เหมือง ทิ้งไว้เพียงร่างของกาเอตาโน่ที่โดนกองหินทับอย่างไม่ไยดี และเปลวไฟแห่งความแค้นที่ลุกโชนขึ้นในใจของเอ็นโซ ด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง เอ็นโซได้เข้าจู่โจมอิล แมร์โล และเริ่มต้นการหลบหนีอย่างไร้ทิศทาง การหลบหนีครั้งนั้นได้นำพาโชคชะตาของเขาไปสู่ทางแยก เมื่อเขาได้ล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของ 'ดอน ตอร์ริซี' (Don Torrisi) ประมุขแห่งตระกูลมาเฟียตอร์ริซีผู้ทรงอำนาจ ซึ่งเป็นคู่อริกับ ดอน สปาราโด เจ้านายของอิล แมร์โล ดอน ตอร์ริซี ได้ช่วยชีวิตเอ็นโซไว้ และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายสัญญาสงบศึกระหว่างสองตระกูล อิล แมร์โลจึงจำใจต้องล่าถอยไป และในวันนั้นเอง ที่ชีวิตของเอ็นโซได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เอ็นโซได้ก้าวออกจากนรกใต้ดิน เพื่อเข้าสู่โลกใต้ดินอีกรูปแบบหนึ่ง โลกของอำนาจ, การทรยศ, และเกียรติยศที่ต้องแลกมาด้วยเลือด เขาได้รับการต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวตอร์ริซี และได้เริ่มต้นทำงานเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง ที่นี่เองที่เขาได้พบกับมิตรภาพใหม่จาก ลูก้า ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงและครูในการช่วยสอนทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจใต้ดินนี้, เชซาเร่ ที่มีศักดิ์เป็นหลานของท่านดอน รวมถึงสมาชิกในแก๊งคนอื่นๆ และที่สำคัญเขาได้พบกับ อิซาเบลล่า (Isabella) ลูกสาวของดอน ผู้ซึ่งกลายเป็นแสงสว่างและความหวังในใจของเขา แต่ในโลกของมาเฟียนั้น ความรักและภยันตรายมักจะเดินเคียงคู่กันเสมอ และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเอ็นโซ ที่จะต้องเลือกว่าจะยอมสละอะไรบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตที่เขาใฝ่ฝัน

Enzo Favara

การไต่เต้าที่ต่ำตมยิ่งกว่าภาคไหนๆ
การเล่าเรื่องของเกม Mafia: The Old Country นั้นยังคงคอนเซปต์ตามฉบับภาพยนตร์มาเฟียหรือเกมภาคก่อนๆ ของซีรีส์ไว้ทุกอย่าง ชนิดที่ว่าถ้าใครดูหนังแนวนี้เยอะๆ อาจจะเดาฉากต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ในฐานะแฟนซีรีส์ระดับหนึ่ง ต้องบอกว่าต่อให้จะเดาได้ มันก็ยังชวนให้ลุ้น ชวนให้เสียว และแอบเชียร์อยู่ตลอดเวลา ในภาคนี้แทบไม่ได้แตกต่างจากภาคแรกหรือภาคสองของซีรีส์ (เราข้ามภาค 3 ไปเพราะภาคนี้เน้นสไตล์การล้างแค้นเสียมากกว่า) ตัวละคร Enzo เริ่มต้นจากจุดที่เรียกได้ว่ารากหญ้า ไม่ต่างจากตัวเอกของมาเฟียสองภาคแรก ซึ่งถ้าให้เทียบกับ Tommy ในภาคแรก หรือ Vito ในภาคที่สองนั้น Enzo น่าจะมีจุดเริ่มต้นที่ต่ำตมที่สุดก็ว่าได้ในแง่ของการไต่เต้าขึ้นไปในแก๊งมาเฟีย ในเกมเราจะได้เห็น Enzo ค่อยๆ เริ่มจากการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้แก๊ง Torrisi เป็นเด็กรับใช้ทำงานทุกอย่างแลกกับมีที่ซุกหัวนอน มีข้าวกิน และชีวิตที่ดีกว่าการเป็นทาสในเหมือง จนกระทั่งเขาเริ่มได้โชว์ความสามารถต่างๆ ให้ท่าน Don เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็ได้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุดสำหรับสมาชิกแก๊งมาเฟีย นั่นก็คือ ‘คนที่ท่านดอนไว้ใจ’ เราจะได้ติดตามการเติบโตของ Enzo จนสุดทาง ชนิดที่ว่าเหมือนเราค่อยๆ โตไปกับเขาเลย สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกถึงการเติบโตไปพร้อมกับตัวละคร อาจจะฟังดูตลก แต่มันคือทรงผม Enzo ในช่วงแรกจะมาในรูปแบบหัวเกรียนไร้หนวดเคราตัวมอมแมม และเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เราจะเห็นผมของเขายาวขึ้น ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์จากเด็กหนุ่มให้กลายเป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น จนถึงระดับที่ทรงผมเข้าทรงตามภาพโปรโมต ทำให้ผมรู้สึกว่า Enzo ได้เติบโตและมาไกลจริงๆ

Enzo หลังทำงานให้กับแก๊ง Torrisi 

การเล่าเรื่องที่ไร้รอยต่อและเข้มข้นยิ่งขึ้น 
การเล่าเรื่องหลักๆ ของเกม Mafia แน่นอนว่าทุกภาคจะเน้นเล่าผ่าน Cutscene เหมือนชมภาพยนตร์ และภาคนี้ก็เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้ภาคนี้มันดีขึ้นไปอีกขั้นคือความลื่นไหลที่เชื่อมต่อกับ Gameplay ในภาคก่อนเมื่อเราเดินไปยังจุดภารกิจ มันจะตัดภาพเข้าสู่ Cutscene ทันที แต่ในภาคนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้น แต่จะแสดงผลต่อเนื่องจากการเล่นไปยัง Cutscene ของเกมเลย เช่นเมื่อเราเดินมาถึงจุดที่กำหนด คัตซีนก็จะเล่นต่อเนื่องทันทีโดยไม่ต้องโหลดฉากหรือตัดจอดำใดๆ (คล้ายกับในเกม GTA V หรือ Red Dead Redemption 2) และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในด้านเนื้อเรื่องคือการเล่าเรื่องแบบโรแมนติกที่ชัดเจนกว่าภาคไหนๆ ทำให้เราลุ้นและแอบเชียร์คู่พระนางอยู่ตลอดเวลา

ตัวละครที่น่าจดจำและเปี่ยมด้วยมิติ 
สีหน้าท่าทางการพูดถือเป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้มาตั้งแต่ Mafia 3 และ Mafia: Definitive Edition ซึ่งแม้ในภาคใหม่นี้จะเปลี่ยนเอนจิ้นในการพัฒนา แต่ก็ยังคงรักษาจุดเด่นนี้ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม การแสดงผ่าน Motion Capture มาจากนักแสดงจริงๆ มันจึงออกมาเหมือนเรากำลังรับชมภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคนี้ผมชอบคาแรกเตอร์ของ Don Torrisi และ Luca ที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงให้กับ Enzo มาก ทั้งคู่มีออร่าที่แตกต่างและน่าจดจำ Don Torrisi มาในสไตล์มาเฟียที่ดุดันและน่าเกรงขาม ซึ่งสื่อออกมาได้ชัดเจนมากในฉากที่ Enzo พบกับ Don เป็นครั้งแรกที่เพียงแค่ท่าน Don จ้องหน้าเฉยๆก็ทำให้รู้สึกได้เลยว่าน่ากลัวมากๆ หรือท่าทางของ Enzo ที่แสดงความกลัวและความเคารพต่อบอสของเขาอยู่เสมอ ความกลัวนี้ไม่ใช่การกลัวโดนทำร้าย แต่เป็นความกลัวที่จะทำให้ผิดหวัง ซึ่งทำให้บทของ Don Torrisi มีความโดดเด่นกว่าบอสในภาคอื่นๆ ส่วน Luca นั้นเป็นเหมือนอาจารย์ผู้สอนทุกอย่างให้กับ Enzo เขาให้คำแนะนำต่างๆ มากมาย บุคลิกท่าทางและการแต่งกายก็โดดเด่น มีความเป็นสุภาพบุรุษสูงมาก

Don Torrisi / Luca

ความใส่ใจในรายละเอียดที่มากขึ้น 
ตัวเกมไม่ได้เล่าทุกอย่างผ่าน Cutscene เท่านั้น แต่ยังมีฉากที่เราสามารถพูดคุยกับ NPC เพื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ ซึ่งการแสดงสีหน้าท่าทางก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน การขยับปากตามเสียงพากย์ทำได้ตรงและเป็นธรรมชาติ (ในกรณีที่ยืนคุยกันปกติ) อีกอย่างที่ผมรู้สึกชอบและแสดงให้เห็นว่า Hangar 13 ใส่ใจรายละเอียดมากขึ้นคือแอนิเมชันตอนพูดคุยกันขณะขับรถ ในภาคก่อนๆ ตัวละครมักจะนั่งนิ่งๆ ขยับแค่ปาก แต่ในภาคนี้แอนิเมชันการพูดคุยหรืออริยาบถอื่นๆ ขณะขับรถนั้นดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติกว่าเดิมมาก

ข้อสังเกตสำหรับผู้เล่นใหม่และจังหวะของเกม 
สำหรับข้อติ ส่วนตัวผมมองว่าถ้าใครที่ไม่เคยเล่นเกมเน้นเนื้อเรื่องหรือเป็นแฟนซีรีส์นี้มาก่อน อาจจะรู้สึกว่าความน่าตื่นเต้นของเกมลดลงพอสมควร ปัญหาแรกคือช่วงฝึกสอนที่ค่อนข้างยาว กว่าจะปลดล็อกระบบต่างๆ ในเกมได้ก็ใช้เวลาไปเกือบ 4 ชั่วโมง อาจทำให้ผู้เล่นบางคนรู้สึกว่าเกมดำเนินเรื่องช้า (Slow Burn) จนไม่อยากเล่นต่อ แต่สำหรับแฟนซีรีส์อย่างผม มันกลับช่วยให้ติดพันและอยากรู้เรื่องราวต่อไป เพราะเสน่ห์อย่างหนึ่งของซีรีส์มาเฟียคือการเชื่อมโยงกับภาคเก่าๆ ซึ่งภาคนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มีทั้งตัวละครจากภาค 1 และ 2 มาปรากฏตัว แต่หากคุณไม่เคยเล่นภาคเก่าๆ มาก่อน อาจจะรู้สึกเฉยๆ กับการปรากฏตัวของพวกเขา ดังนั้นใครที่มาเล่นภาคนี้เป็นภาคแรก ผมแนะนำให้ไปเล่นภาคก่อนหน้ามาก่อนจะช่วยให้อินขึ้นมาก อีกเรื่องคือในบางภารกิจอาจจะดูไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง ที่ Enzo ต้องลุยเดี่ยวถล่มกับศัตรูนับสิบคน ทำให้บางครั้งผมรู้สึกว่าแก๊ง Torrisi มีกันอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นหรือส่งคนมาช่วยหน่อยสัก 2-3 คนก็ได้มั้ง

รสชาติใหม่ในขวดใบเก่า 
เนื้อเรื่องของ Mafia: The Old Country เป็นเหมือนรสชาติใหม่ที่แฝงไปด้วยรสชาติเก่าที่ชวนให้หวนคิดถึง แฟนเกมซีรีส์นี้จะสนุกไปกับการรับรู้เรื่องราวที่เชื่อมโยงกับภาคอื่นๆ แต่รสชาติใหม่นี้ก็เป็นความไม่คุ้นเคยเช่นกัน เพราะภาพจำของมาเฟียคือเมืองใหญ่ในอเมริกาที่เต็มไปด้วยตึกสูงและธุรกิจมืด แต่ใน The Old Country กลับกลายเป็นบ้านนอกที่เต็มไปด้วยดินทราย ทำให้ภาพจำที่คุ้นเคยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

Gameplay - ระบบการเล่นที่คุ้นเคยในรายละเอียดที่เปลี่ยนไป (6.0)

การดวลมีด: ของใหม่ที่ยังไม่สุด 
แฟนๆ ของซีรีส์นี้คงทราบดีว่าระบบการเล่นไม่ใช่ตัวชูโรงหลัก และภาคนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยการเปลี่ยนเอนจิ้นใหม่ รายละเอียดการเล่นต่างๆ จึงถูกทำขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ระบบที่สดใหม่จริงๆ ที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือ การดวลมีด ซึ่งจะเป็นการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 และมีอีเวนต์บังคับให้เราดวลมีดอยู่บ่อยครั้ง ถ้าถามว่าสนุกไหม ก็ต้องบอกว่าเฉยๆ แค่ดูแปลกใหม่สำหรับซีรีส์ แต่โดยรวมแล้วมันเหมือนการนำระบบชกต่อยใน Mafia 2 มาเพิ่มระบบ Parry เข้าไป มีการฟันเบา ฟันแรง การหลบ และเมื่อศัตรูโจมตีปกติ เราสามารถ Parry ได้ แต่ถ้าเป็นการโจมตีหนัก (ซึ่งจะเรืองแสงสีแดง) เราต้องหลบเท่านั้น

ดวลมีด

Gunplay ที่ท้าทายและความสำคัญของมีด
Gunplay ก็ไม่ได้แตกต่างจากภาคก่อนๆ มากนัก แต่รู้สึกว่าจะช้าและยากกว่าเล็กน้อย เพราะตอนเล็งอาวุธเราต้องรอให้เป้าเล็งหุบเข้าหากันก่อนปืนถึงจะยิงได้แม่นยำ ประกอบกับยุคสมัยของปืนที่แตกต่างออกไป ในภาคนี้จะมีแค่ปืนพก, ปืนไรเฟิล และลูกซองเท่านั้น (จะมีโกงหน่อยก็คือไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ Barker Model 8) อาวุธสามารถซื้อได้ที่กล่องเก็บอาวุธที่บ้านหรือโกดังของแก๊ง ส่วนมีดแต่ละเล่มก็จะมีความสามารถและความคงทนต่างกัน บางอันใช้ปาได้ บางอันใช้ Takedown ศัตรูได้ทันที นอกจากนี้มีดยังมีความสำคัญในการลอบเร้นและเปิดกล่อง/ประตูที่ล็อกอยู่ แต่การใช้งานมีดทุกครั้งจะเสียค่าความคงทน และต้องใช้ "หินลับมีด" ที่ดรอปจากศัตรูเพื่อซ่อมแซม ซึ่งก็แอบเสียดายเพราะภาคเก่าๆนั้นมีระบบสะเดาะกุญแจน่าจะนำมาต่อยอดได้ดีกว่าใช้มีดในการเปิดทุกสิ่ง

Gunplay

ระบบลอบเร้นที่ตรงไปตรงมา 
ระบบลอบเร้นในเกมนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมภาคเก่าๆ มากนัก สามารถ Takedown ศัตรูได้ทั้งแบบมือเปล่าและใช้มีด นอกจากนี้ Enzo ยังมีพลังพิเศษมองทะลุกำแพงได้ (คล้าย Eagle Eye) เพื่อระบุตำแหน่งศัตรู และสามารถโยนเหรียญหรือขวดเพื่อล่อศัตรูได้

เศรษฐศาสตร์และสกิล 
ค่าเงินในเกมนี้เรียกว่า DINARI ใช้สำหรับซื้อปืน, มีด, เครื่องแต่งกาย, รถ และม้า ส่วนตัวช่วยในการเล่นคือ จี้นำโชค (Charms) ที่ทำหน้าที่เหมือนสกิลติดตัว เราสามารถใส่ได้สูงสุด 5 อัน เพื่อเพิ่มความสามารถต่างๆ เช่น เพิ่มกระสุนที่พกได้ หรือทำให้เล็งได้เร็วขึ้น ซึ่งสามารถซื้อได้ที่ร้านค้าของแก๊ง

จี้นำโชค (Charms)

AI และ NPC 
AI ของศัตรูไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากนัก มีการอ้อมมาตลบหลังบ้าง แต่โดยรวมก็คือ AI ทั่วไปที่คอยหลบตามที่กำบังแล้วยิงสู้กับเรา และด้วยความเป็นเกมเส้นตรง ทำให้ NPC ประกอบฉากอาจถูกมองข้ามไปพอสมควร พวกเขาแทบไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ถึงแม้จะเอาปืนไปเล็งที่ตัวพวกเขาจนกว่าเราจะยิงจึงจะมีปฏิกิริยาบ้าง (ซึ่งก็ไม่สามารถยิงชาวบ้านให้ตายได้)

การเดินทางในซิซิลี 
พาหนะหลักของเกมนี้มีสองอย่างคือ ม้ากับรถยนต์ ข้อดีข้อเสียแบบง่ายๆ คือ ม้าบังคับง่ายแต่ช้า ส่วนรถบังคับยากแต่เร็ว ซึ่งซีรีส์ Mafia ขึ้นชื่อเรื่องการขับรถที่ยากอยู่แล้ว และภาคนี้ก็ยังคงความท้าทายนั้นไว้เช่นเดิม ในเกมมีภารกิจแข่งรถและเพิ่มการแข่งม้าเข้ามาด้วย แต่เมื่อเล่นไปถึงจุดที่ใช้รถยนต์ได้ ผมก็แทบไม่ได้กลับไปแตะม้าอีกเลย อย่างไรก็ตาม ตัวเกมมีฟังก์ชัน Skip Drive ให้กดข้ามการเดินทางในภารกิจได้

โลกกึ่งเปิดและการสำรวจ 
แผนที่ของเกมนี้เป็นแบบ Open World แต่ตัวเกมนั้นดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรง อย่างไรก็ตาม ในระหว่างบางภารกิจเราก็สามารถแวะสำรวจพื้นที่ต่างๆ ได้ และหลังจบเกมจะมีโหมด Free Roam ให้เรากลับไปสำรวจและเก็บของสะสมต่างๆ เช่น รูปปั้น, หนังสือพิมพ์ หรือจุดถ่ายรูป

ระบบที่หายไปและเครื่องแต่งกาย 
สิ่งที่ถูกตัดออกไปในภาคนี้คือระบบตำรวจหรือระบบดาวไล่ล่า จะมีตำรวจปรากฏตัวตามเนื้อเรื่องเท่านั้น ส่วนเครื่องแต่งกายสามารถใช้เงินซื้อได้ แต่บางชุดจะปลดล็อกตามภารกิจและบางุดก็ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมดในบางช่วงของเนื้อเรื่อง ส่วนอย่างทรงผมหรือหมวกจะไม่สามารถเปลี่ยนได้ในก่ีเล่นเนื้อเรื่องเลย แต่เราก็สามารถกดปิด Story Outfit เพื่อปลดล็อกเครื่องแต่งกายทั้งหมดและแต่งตัวได้ตามใจชอบในทุกภารกิจเช่นกัน

บทสรุปของเกมเพลย์ 
การเล่นหลักๆ ของเกมนี้จะวนอยู่ 3 อย่างคือ ขับรถ, ยิงปืน, ลอบเร้น บางด่านอาจจะบังคับให้เราดวลมีด หรือให้เราเลือกสไตล์การเล่นได้เอง ความเห็นส่วนตัวคือการเล่นมันไม่ได้มีอะไรว้าว อิงตามแบบเดิมที่เคยทำมา แต่สิ่งที่ผมค่อนข้างชอบคือรายละเอียดต่างๆ ที่ทีมพัฒนาใส่ใจมากขึ้น สำหรับแฟนเกมอย่างผมที่คาดหวังเนื้อเรื่องเป็นหลัก ระบบการเล่นที่ธรรมดานั้นยอมรับได้ แต่สำหรับผู้เล่นใหม่ การที่ต้องเจอกับเนื้อเรื่องที่ดำเนินเรื่องช้าในช่วงแรก ประกอบกับระบบการเล่นที่ไม่ได้โดดเด่น อาจจะทำให้เกมนี้ไม่เหมาะกับคุณ

Performance - ความสวยงามที่ต้องแลกมาด้วยประสิทธิภาพ (7.4)

Unreal Engine 5 และสเปคที่สูงลิ่ว 
Mafia: The Old Country ตัดสินใจเปลี่ยนเอนจิ้นในการพัฒนาจาก Fusion Engine ไปเป็น Unreal Engine 5 ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการกินทรัพยากรที่ค่อนข้างหนัก และก็เป็นไปตามคาด ตั้งแต่ประกาศสเปคขั้นต่ำออกมาก็ทำเอาหลายคนกุมขมับ เพราะต้องการ CPU ระดับ i7 Gen 9 และการ์ดจอ 2070 สำหรับการตั้งค่าระดับ Medium บนจอ Full HD เท่านั้น ที่น่ากังวลที่สุดคือการที่สเปคแนะนำระบุระดับการตั้งค่า Upscaling เข้ามาด้วย ซึ่งหมายความว่าคอมพิวเตอร์ระดับนั้นยังต้องใช้ AI ช่วยอัปสเกลภาพขึ้นมาเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด ผมมองว่ามันกินสเปคเกินไปมากเมื่อเทียบกับภาคก่อน

ภาพสวยแต่ไม่ก้าวกระโดด 
จากที่ได้เล่นมา กราฟิกของเกมด้วย Unreal Engine 5 นั้นสวยงาม แต่ถ้าเทียบกับ Mafia: Definitive Edition มันก็ไม่ได้แตกต่างกันจนพลิกแผ่นดินขนาดนั้น คือสวยกว่าจริง แต่ไม่ได้ทำให้อ้าปากค้าง และเมื่อเทียบกับการกินสเปคที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ผมรู้สึกว่าการใช้เอนจิ้นเดิมอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า สำหรับการรีวิวครั้งนี้ใช้เครื่องสเปค I7-13700K กับ RTX4080 Super ซึ่งสามารถปรับสุดแบบ 4K ได้ตามที่แนะนำ ผลที่ได้คือ FPS มีความแกว่งพอสมควร บางฉากที่มีเอฟเฟกต์เยอะอาจร่วงไปถึง 30 FPS หรือต่ำกว่านั้น นี่ขนาดใช้ Frame Generation ช่วยแล้ว แสดงให้เห็นว่าเอนจิ้นนี้อาจจะมีปัญหากับการเล่นแบบ 4K จริงๆ

ความสำคัญของ Optimization 
ผมอยากให้ทีมพัฒนาเกมในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการ Optimize เกมให้มากขึ้น เทคโนโลยี Upscaling หรือ Frame Generation ควรเป็น "ตัวช่วย" ไม่ใช่ฟังก์ชันหลักที่หากไม่เปิดก็แทบเล่นเกมไม่ได้ เกมในอดีตหลายเกมก็ทำภาพออกมาได้สวยงามโดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้ การเปลี่ยนมาใช้เอนจิ้นที่กินสเปคสูงขนาดนี้จึงอาจไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร

รายละเอียดที่น่าชื่นชม 
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าชมก็มีเยอะ การเปลี่ยนเอนจิ้นหมายถึงการต้องทำทุกอย่างขึ้นมาใหม่ ซึ่งทีมงานได้ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น แอนิเมชันการคุยตอนขับรถ หรือฉากที่สอนดวลมีดกับ Luca ที่มีการเก็บคมมีดเข้าฝักเพื่อแสดงว่าเป็นการฝึกซ้อม รวมถึงแอนิเมชันการขับรถที่สมจริงขึ้นกว่าภาคก่อนๆ ที่มีการใช้แอนิเมชันซ้ำจนดูแปลก

โลกที่งดงามแต่มีปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อย
บ้านเมืองใน The Old Country ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม ทั้งทุ่งองุ่นและเมืองริมทะเลทำออกมาได้ไร้ที่ติ ส่วนเรื่องบั๊กนั้น ตลอดการเล่นผมไม่เจอบั๊กที่ร้ายแรง ส่วนมากเป็นเพียงแอนิเมชันผิดพลาดเล็กน้อยหรือ Texture ที่โหลดไม่ทันเท่านั้น

บทสรุปของ Performance 
โดยรวมแล้ว Performance ทำออกมาได้ไม่ค่อยถูกใจผมเท่าไหร่ อาจจะเป็นที่ตัวเอนจิ้นที่กินทรัพยากรเกินไป หรืองานภาพที่สวยงามแต่ไม่ได้ดูก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับการกินสเปคที่หนักขึ้น แต่สิ่งที่น่าประทับใจคือรายละเอียดต่างๆ ที่ทีมงานรังสรรค์ออกมาได้ดีกว่าที่คาดไว้

Sound Design - เสียงประกอบที่ช่วยขับเคลื่อนอารมณ์ (8.3)

ดนตรีและเสียงประกอบ 
เสียงเพลงประกอบถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของซีรีส์ Mafia หลายเพลงในภาคนี้ก็ติดหูและน่าจดจำ มีการใช้ดนตรีในการสื่อสารอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจนทำให้ผมน้ำตาซึมในหลายฉาก ทางด้านเสียงประกอบก็มีการปรับปรุงขึ้นพอสมควร ทั้งเสียงปืนที่หนักแน่น หรือเสียงเครื่องยนต์ของรถที่ดังสะใจสไตล์รถยุคต้นปี 1900

งานพากย์เสียงระดับคุณภาพ 
และที่ขาดไม่ได้คือเหล่านักแสดงที่มาให้เสียงและทำ Motion Capture ให้กับเกมนี้ ซึ่งทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียน และถ้าใครอยากอินให้มากกว่านี้ ตัวเกมยังสามารถปรับเสียงพากย์ให้เป็นภาษา Sicilian ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวเกาะซิซิลีได้อีกด้วย แม้ว่า Lip Sync ของตัวละครจะอิงตามเสียงภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

คะแนนรีวิวแบบละเอียด

หมวดหมู่ หัวข้อย่อย คะแนน
Story (8.8/10) วิธีเล่าเรื่อง 10/10
ความเข้ากันกับเนื้อเรื่อง 9/10
Character Development 8/10
ความเป็นธรรมชาติของบทพูด 8/10
การแสดง/สีหน้า [Motion Cap] 9/10
Gameplay (6.0/10) Innovative (ระบบใหม่) 5/10
Feature 6/10
Core Gameplay 6/10
Content 6/10
Replayability 6/10
Level Design 7/10
Performance (7.6/10) คุณภาพของกราฟิก 7/10
ประสิทธิภาพในการแสดงผล 6/10
การออกแบบงานศิลป์ (Art Style) 9/10
เข้ากันได้กับสเปคที่แนะนำ 7/10
ไร้บัคกวนใจ 9/10
Sound Design (8.3/10) คุณภาพเสียงประกอบ (ดนตรี) 9/10
คุณภาพเสียงประกอบ (Effect) 8/10
เสียงพากย์ 8/10
Game Review Rating
น่าพอใจ ควรค่าแก่การเล่น

Mafia: The Old Country

7.7 / 10 คะแนน

Mafia: The Old Country เป็นการกลับมาอีกครั้งของซีรีส์ด้วยรสชาติใหม่ในเหล้าขวดเดิม การดำเนินเรื่องราวเป็นไปตามสไตล์ที่ซีรีส์เคยทำมาแบบเส้นตรง แต่การพาเราย้อนกลับไปยังยุคที่มีข้อจำกัดกว่าเดิมก็ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ ของซีรีส์ การกลับมาของตัวละครหรือสถานที่ในภาคเก่าๆ จะถูกใจแฟนเกม Mafia อย่างแน่นอน แต่สำหรับใครที่ไม่ได้เป็นแฟนซีรีส์นี้หรือมาลองเล่นเป็นครั้งแรก อาจจะเบื่อหรือเลิกเล่นไปก่อนได้ เนื่องจากระบบการเล่นที่ธรรมดาไม่ได้หวือหวาและ Performance ของเกมที่ค่อนข้างมีปัญหา โดยเฉพาะบน PC เว้นแต่ว่าคุณเป็นคนที่ชอบเกมที่เน้นเนื้อเรื่องจัดๆ หรือชอบเสพงานภาพสไตล์ภาพยนตร์ เกมนี้ก็อาจจะเป็นคำตอบให้คุณได้

แชร์เรื่องนี้:
Worrapol T.
Worrapol T.

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง