การกลับมาของมือปราบเก็นมะ
ตำนานบทใหม่ของยอดนักดาบ
ในขณะที่ซีรีส์ Onimusha ดั้งเดิมนั้นอ้างอิงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นโดยมีตัวละครเอกอย่าง ซามะโนะสุเกะ อาเคจิ (Samanosuke Akechi) ต่อกรกับกองทัพปีศาจของ โอดะ โนบุนางะ (Oda Nobunaga) ในภาค Way of the Swords นี้ Capcom ได้เลือกที่จะเล่าขานตำนานบทใหม่ โดยให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็น มิยาโมโตะ มุซาชิ (Miyamoto Musashi) ยอดซามูไรไร้พ่ายในตำนาน ออกเดินทางผจญภัยในเมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่นยุคเซ็นโกคุที่เต็มไปด้วยอสูรร้าย

เนื้อหาที่จะได้เล่นน่าจะเป็นช่วงต้นเกมที่ มิยาโมโตะ มุซาชิ น่าจะเพิ่งได้รับพลังมา และเข้าบุกกวาดล้าง เก็นมะ ในวัด คิโยมิซุเตระ หรือวัดน้ำใสที่คนไทยรู้จักกัน (Kiyomizu-detra Temple)
การเปลี่ยนตัวเอกมาเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เช่นนี้ ทำให้ทิศทางของเกมน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นการส่งสัญญาณว่าภาคนี้จะเน้นย้ำไปที่ "วิถีแห่งดาบ" อย่างเข้มข้นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
เกมเพลย์: ศาสตร์แห่งดาบที่ลุ่มลึกและสะใจ
หากจะให้สรุปประสบการณ์แรกสัมผัสหลังจับจอย ก็ต้องบอกว่านี่คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของซีรีส์ Onimusha ภาคนี้ได้สลัดคราบการควบคุมแบบ "Resident Evil ถือดาบ" ในอดีตทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง และมุ่งหน้าสู่การเป็นเกมแอ็กชันดวลดาบเต็มรูปแบบ ที่ถึงแม้ผู้กำกับเกมอย่าง Satoru Nihei จะเคยกล่าวว่าเกมนี้ไม่ใช่แนว Souls-like แต่หัวใจหลักของมันคือการสังเกตการเคลื่อนไหวของศัตรู เพื่อหาจังหวะที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการโจมตีและป้องกัน แต่จะให้ผมชมอย่างเดียวก็กะไรอยู่ เพราะการที่มันไม่ใช่ Souls-like อย่างที่พวกเขาตั้งใจ มันกลับเป็นอีกจุดที่ทำร้ายด้วยเช่นกัน เพราะจากที่เล่นมา 20 นาทีกว่า ผมไม่รู้สึกว่าเกมมันชาเลนจ์ผมเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้จะเล่นโหมดยากสุดที่มันมีให้ในเกมก็ตาม ก็ยังไม่มีจังหวะไหนที่ทำเหงื่อตก หรือกลัวตาย

คมดาบที่หั่นทุกสรรพสิ่งและระบบ Stagger
สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมคือ "ความรู้สึก" ของคมดาบที่ทีมงาน Capcom รังสรรค์ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ทุกครั้งที่ฟาดฟันดาบออกไป มันให้ความรู้สึกที่หนักแน่นและสามารถ "หั่น" ศัตรูให้ขาดเป็นชิ้นๆ ได้อย่างสะใจ และเพื่อต่อยอดความสนุกนี้ เกมได้นำเสนอระบบ "หลอด Stagger" (หลอดโซเซ) ที่เมื่อเราโจมตีศัตรูจนหลอดนี้เต็ม จะสามารถปลดปล่อยท่าสังหาร (Execute) ได้ทันที ซึ่งในเดโมนั้นสามารถทำได้พร้อมกันถึง 2 ตัวเลยทีเดียว หากศัตรูทั้งสองนั้นหลอด Stagger หมดพร้อมกันล่ะก็นะ

ในการต่อสู้กับบอสใหญ่ของเดโมอย่าง ซาซากิ เก็นริว (Sasaki Genryo) ระบบนี้ยิ่งฉายแววโดดเด่น เพราะเมื่อเราทำให้บอสติด Stagger ได้ จะมีตัวเลือกให้เราเล็งจุดสังหารบอสได้อีกด้วย เป็นการเพิ่มมิติและความ cinematic ให้กับการต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม

ศาสตร์แห่งการป้องกัน: Parry, Deflect และ Issen ในตำนาน
แม้การโจมตีจะดุดัน แต่หัวใจที่แท้จริงของเกมภาคนี้อยู่ที่ "การป้องกัน" ซึ่งมีความลึกและหลากหลายอย่างน่าทึ่ง ประกอบไปด้วย:
การปัดป้อง (Parry): กดปุ่ม L1 ในจังหวะที่ศัตรูโจมตี การ Parry ที่สมบูรณ์แบบไม่เพียงแต่จะเปิดช่องให้โจมตีสวน แต่ยังช่วยเพิ่มพลังโจมตีของเราชั่วขณะอีกด้วย
การสะท้อน (Deflect): ด้วยการกด L1 + X ท่านี้จะเน้นไปที่การลดค่าความทนทาน (Stamina) ของศัตรู ทำให้พวกมันมึนงงและเปิดช่องให้เราโจมตีได้ง่ายขึ้น
อิซเซ็น (Issen): ระบบดั้งเดิมอันเลื่องชื่อของซีรีส์กลับมาแล้ว! การกดโจมตีสวนในจังหวะสุดท้ายก่อนที่คมดาบศัตรูจะถึงตัว เป็นเทคนิคความเสี่ยงสูงที่แลกมากับความเสียหายมหาศาล และเป็นสิ่งที่แฟนเกม Onimusha ทุกคนจะต้องหลงรัก

Blaze Mode: เมื่อเปลวเพลิงสีครามลุกโชน
สำหรับเกมเมอร์สาย Parry เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเกมนี้มีรางวัลสำหรับคุณโดยเฉพาะ ทุกครั้งที่ Parry ได้สำเร็จ "หลอด Blaze" จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่หากถูกโจมตี หลอดนี้ก็จะลดลง เมื่อใดก็ตามที่สะสมจนเต็ม คุณจะสามารถปลดปล่อย "Blaze Mode" ได้
ในโหมดนี้ ดาบของมุซาชิจะลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงิน และทุกครั้งที่ Parry สำเร็จ จะเป็นการสวนกลับด้วยการโจมตีพิเศษที่ทั้งรุนแรงและเท่เหนือคำบรรยาย เป็นระบบที่ผลักดันให้ผู้เล่นมีความกล้าที่จะเสี่ยงและเชี่ยวชาญการ Parry ให้ถึงขีดสุด

บทสรุปจากเดโม: ก้าวใหม่ที่สำคัญของราชาเกมแอ็กชัน
จากการได้สัมผัส Onimusha: Way of the Swords ในเดโมสั้นๆ นี้ ต้องยอมรับว่านี่คือก้าวใหม่ที่สำคัญและน่าตื่นเต้นอย่างมากของซีรีส์ มันนำเสนอไอเดียที่สดใหม่ ระบบการต่อสู้ที่ลุ่มลึก และแอนิเมชันการดวลดาบที่งดงามประณีต โดยเฉพาะฉากการเผชิญหน้ากับบอสที่ต่างฝ่ายต่างเป็นนักดาบด้วยกันนั้น ถูกทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ