การเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยระหว่าง The Witcher 3 และ The Witcher 4 หมายความว่าทีมพัฒนา CD Projekt Red กำลังยกระดับตนเองเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็มองไปยังอดีตเพื่อหาแรงบันดาลใจ
ตามรายงานจากเว็บไซต์ PC Gamer ซึ่งได้สัมภาษณ์ Jan Hermanowicz ผู้จัดการฝ่ายผลิตของเดโมทางเทคนิคสำหรับ The Witcher 4 ที่เพิ่งจัดแสดงไป เขาได้อธิบายว่าสตูดิโอกำลังปรับตัวให้เข้ากับ "การเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์, เอนจิ้น, และเทคโนโลยีระหว่าง The Witcher 3 และ The Witcher 4"
เนื่องจากภาคที่สามของเรื่องราวของ Geralt ได้วางจำหน่ายไปตั้งแต่ปี 2015 เราจึงได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของคอนโซลมาแล้วหนึ่งเจเนอเรชันเต็มๆ และได้เห็น CDPR เปลี่ยนมาใช้เอนจิ้นใหม่สำหรับเกม RPG ของพวกเขา
"การเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยนั้น เราต้องการทำให้มันถูกต้อง" Hermanowicz กล่าว "เป้าหมายของเราคือการใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่และส่งมอบประสบการณ์ Next-gen อย่างแท้จริง"
สำหรับเดโมทางเทคนิคที่ผ่านมา ซึ่งมีฉากหลังเป็น Valdrest หมู่บ้านเล็กๆ ในแคว้น Kovir ของ The Witcher 4 แม้จะถูกเรียกว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานของ The Witcher 3 แล้ว มันกลับเป็นเมืองท่าที่พลุกพล่านซึ่งมี NPC ถึง 300 คนและมีตลาดที่คึกคัก
ความหนาแน่นของประชากรนี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า CD Projekt กำลัง "ยกระดับ" ขึ้นอย่างไร แต่ Hermanowicz ก็ชี้ให้เห็นว่าสตูดิโอ "ไม่ได้ก้าวเข้าไปในเรื่องนี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า" เขาเล่าว่าเพื่อที่จะสร้างฝูงชนที่ดูสมจริงสำหรับ Valdrest ทีมงานได้ "ใช้เวลาอย่างมากในการดูวิดีโอบันทึกภาพของเมือง Novigrad จาก The Witcher 3"
การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีนี้หมายความว่าเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเกมภาคล่าสุด ได้กลายมาเป็นมาตรฐานเปรียบเทียบสำหรับหมู่บ้านในเดโมของ The Witcher 4 โดยทีมงานได้ศึกษาทั้งความหนาแน่นของ NPC และกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยในการสร้างสรรค์เดโมของพวกเขา "เราได้มองย้อนกลับไปจริงๆ ว่าเราเคยทำอะไรในอดีต อะไรคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับมัน และอะไรที่เราไม่สามารถทำได้ในตอนนั้น" Hermanowicz อธิบาย
ที่มา PC Gamer
