หลังจากมีข่าวลือออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ล่าสุดได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Electronic Arts (EA) หนึ่งในบริษัทเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ปิดดีลถูกซื้อกิจการและจะนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ โดยมีมูลค่าสูงถึง 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เว็บไซต์ GamesRadar+ รายงานว่า กลุ่มผู้ซื้อกิจการประกอบไปด้วยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย (PIF), บริษัทเอกชน Silver Lake และบริษัทลงทุน Affinity Partners ของ Jared Kushner
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดที่น่ากังวลที่สุดของดีลนี้คือการที่ EA จะต้อง แบกรับหนี้สินด้วยตัวเองเป็นจำนวนเงินสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนที่กลุ่มผู้ซื้อนำมาใช้ในดีลครั้งนี้ หรือที่เรียกว่า Leveraged Buyout ซึ่งหมายความว่าหลังจากนี้ EA จะต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลในการสร้างรายได้เพื่อชำระหนี้ก้อนโตนี้
แม้ Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะส่งข้อความถึงพนักงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่านี่คือ "ยุคใหม่แห่งโอกาส" และ "คุณค่าของบริษัทจะไม่เปลี่ยนแปลง" แต่นักวิเคราะห์และแฟนเกมต่างแสดงความกังวลอย่างหนักว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่ "การปลดพนักงานครั้งใหญ่, การเพิ่มระบบหารายได้ที่หนักข้อขึ้น และการตัดงบประมาณครั้งสำคัญ" เพื่อลดต้นทุน

สตูดิโอที่น่าเป็นห่วงที่สุดในสายตาของแฟน ๆ คือ BioWare ผู้สร้างซีรีส์ Mass Effect และ Dragon Age เนื่องจากผลงานในช่วงหลังอย่าง Dragon Age: The Veilguard ทำยอดขายได้ไม่เข้าเป้า ทำให้แฟน ๆ ในเว็บบอร์ด Reddit ถึงกับเริ่มโพสต์ไว้อาลัยให้กับสตูดิโอและอนาคตของเกม Mass Effect ภาคต่อไปล่วงหน้าแล้ว เพราะเกรงว่าจะเป็นเป้าหมายแรก ๆ ในการตัดลดค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางของเนื้อหาในเกม โดยเฉพาะประเด็น LGBTQ+ ที่ BioWare นำเสนอมาโดยตลอด ว่าจะได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้บริหารใหม่ที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลซาอุดีอาระเบียและกลุ่มการเมืองอนุรักษ์นิยมในสหรัฐฯ หรือไม่
Mat Piscatella นักวิเคราะห์ตลาดเกม ได้กล่าวถึงหนี้สิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ว่าเป็น "ตัวเลขที่ใหญ่จนน่าตกใจ" และยอมรับว่าอุตสาหกรรมเกมไม่เคยเห็นดีลในระดับนี้มาก่อน ทำให้ยากที่จะคาดเดาถึงผลกระทบที่จะตามมาได้
ที่มา GamesRadar+, แฟน ๆ ห่วง BioWare