เมื่อครั้นยังเด็ก เกม Persona 4 เคยเป็นเกมโปรดในดวงใจของผม เเละเป็นเกมที่ผมหยิบมาเล่นซ้ำได้ไม่รู้เบื่อ เเต่กระนั้นเเม้ผมจะสัมผัสกับตัวเกมมานับครั้งไม่ถ้วน เเต่ด้วยความไร้เดียงสาของผม ผมกลับไม่เคยเข้าใจเลยว่า เเท้จริงเเล้ว ตัวเกมต้องการจะสื่ออะไรกันเเน่ หรืออะไรคือสิ่งที่ผู้กำกับอยากจะนำเสนอผ่านเกมนี้กัน ? เเต่บัดนี้ เมื่อผมลองย้อนกลับมาเล่นเกมนี้อีกครั้ง ผมกลับพบว่า สิ่งที่ตัวเกมพยายามนำเสนอนั้น มันมิได้มีเเค่ความบันเทิงเท่านั้น เเต่มันคือประเด็นเสียดสีสังคม ที่ซุกซ่อนไว้อย่างคมคาย ประเด็นที่เชื่อมโยงกับชีวิตพวกเราทุกคน โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วย ด้านมืดของวัฒนธรรมวงการสื่อ ที่ไม่ได้สวยงามไปเสียหมด

โดยเนื้อเรื่องของเกมนี้ จะเล่าถึงเรื่องราวของกลุ่มตัวเอกเเละผองเพื่อน ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมปริศนาในเมืองเเถบชนบท โดยพวกเขาพบว่าคดีดังกล่าวนี้ มันมีความเชื่อมโยงกับช่องลึกลับซึ่งฉายทุกเที่ยงคืนยามฝนตก นามว่า ช่องทีวีรัตติกาล เพราะศพที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ล้วนคือคนที่ปรากฏตัวอยู่บนช่องทีวีข้างต้น จนเป็นเหตุให้เราต้องสืบหาความจริงว่า ใครกันเเน่ที่อยู่เบื้องหลังคดีประหลาดนี้กันเเน่ ?
อย่างไรก็ดี นอกจากช่องทีวีรัตติกาลจะเป็นจุดเด่นของเกม Persona ภาคนี้เเล้ว ทีวีรัตติกาลก็ยังเป็นภาพสะท้อนของประเด็นที่ตัวเกมต้องการจะสื่อด้วยเช่นกัน เริ่มจากประเด็นว่าด้วย ความอันตรายของสื่อ ที่เราจะสังเกตได้ว่า ทุกครั้งที่ตัวละครปรากฏตัวบนช่องทีวีรัตติกาล เราจะเห็นร่าง Shadow ของตัวละคร ที่มีบุคลิกต่างจากยามปกติ พร้อมกับเสียงโห่ร้องจากผู้ชมที่ดังกึกก่องไปทั่ว ราวกับกำลังจับตาดูพวกเขาเหล่านั้นไว้ โดยร่าง Shadow เหล่านี้ ไม่เพียงเเต่สะท้อนตัวตนด้านที่เราไม่อยากยอมรับเท่านั้น เเต่มันคือส่วนผสมกัน ระหว่างตัวตนของตัวละคร กับสิ่งที่มวลชนอยากจะดู หรือชอบใจจนต้องโห่ร้องออกมา ยกตัวอย่างเช่น ร่าง Shadow ของคันจิ ที่นอกจากจะสะท้อนเเง่มุมที่ชอบผู้ชายออกมา มันยังสะท้อนถึงภาพจำ และอคติของผู้ชมชาวญี่ปุ่นที่ชอบมองว่าเกย์เป็นตัวตลก เเละสะท้อนถึงวัฒนธรรมของวงการทีวีญี่ปุ่นสมัยก่อนที่มักจะฉายภาพเกย์ออกมาเเบบนั้น

เช่นกันกับ Shadow หวาบหวิวของ ริเสะ ที่ไม่เพียงเเต่สะท้อนอีกด้านที่อยากเปิดเผยตัวตนเท่านั้น เเต่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้คนอยากจะดูด้วย ทำนองเดียวกับที่เรามักอยากเห็นดารา หรือไอดอลเเต่งตัวหวาบหวิว เป็นต้น นอกจากนี้ การปรากฏของผู้คนในทีวีรัตติกาล ท้ายที่สุดเราจะได้รู้ว่า จริง ๆ มันมีสาเหตุมาจากผู้คนในทีวี ที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากขึ้น จนมาปรากฏตัวบนช่องที่ว่านี้ จากนั้นจึงถูกลักพาตัวไป เเละถูกทำให้กลายเป็นตัวตลก หรือนางเเบบหวาบหวิว เเละจบด้วยการถูกฆ่าตาย โดยเเพทเทิร์นพวกนี้ จริง ๆ มันอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความอันตรายของการปรากฏตัวผ่านสื่อ ที่ไม่เพียงเเต่พรากความเป็นส่วนตัวของเราไป เเต่เรายังมีโอกาสถูกทำให้เป็นตัวตลก หรือถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ เพื่อเรียกยอดคนดูจากมวลชน เฉกเช่น คอนเทนต์ในโลกโซเชี่ยล ที่บางคนถึงกับยอมกลายเป็นตัวตลก หรือขายเรือนร่าง เพื่อเเลกกับยอดเอนเกทต่าง ๆ

ถัดจากความอันตรายของสื่อ ตัวเกมก็ยังได้วิพากษ์ถึงจรรยาบรรณสื่อ โดยเฉพาะสื่อที่ไม่สนใจอะไร นอกจากเงินเเละยอดเอนเกท จนยอมทำทุกอย่างเเม้ว่าจะผิดก็ตาม อันจะเห็นได้จากเนื้อเรื่อง Social Bond ของยูกิโกะ ที่หลังจากมีคนตายในโรงเเรมของยูกิโกะ ต่อมาก็มีสื่อเเห่งหนึ่งมาขู่เเกมบังคับให้ ยูกิโกะถ่ายทำสารคดีหวาบหวิวเพื่อเรียกยอดขาย จนยูกิโกะทนไม่ไหวเเละตอบโต้สื่อดังกล่าวไป ซึ่งไม่เพียงเเต่สื่ออย่างเดียวเท่านั้น โฆษณาก็ยังเป็นสิ่งที่ Persona 4 พยายามจิกกัดด้วยเช่นกัน โดยจิกกัดผ่าน การที่น้องนานาโกะนั้นชอบร้องเพลงโฆษณา Junes เเทนที่จะเป็นเพลงอื่น ๆ เเต่ก็ไม่น่าเเปลกใจอะไร เพราะในเกมเราจะได้ยินเพลงนี้บ่อยมาก เเถมนานาโกะก็ยังถูกทิ้งให้ดูเเต่โทรทัศน์อีกด้วย เนื่องจากโดจิมะนั้นยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลาพานานาโกะไปไหนนัก

สุดท้ายนี้ตัวเกมก็ได้วิพากษ์ถึง การขาดวิจารณญาณของผู้คนในสังคมปัจจุบัน ที่เสพข้อมูลคอนเทนต์จำนวนมากเข้าสู่สมอง จนลืมตั้งคำถามไปว่า สิ่งที่ตนเสพอยู่นั้นมันเป็นความจริงหรือไม่ กล่าวคือ ตัวเกมกำลังจิกกัดผู้คนในสังคม ที่ส่วนใหญ่มักจะเชื่อเเต่สิ่งที่ทีวีหรือมิเดียบอกหมด ทั้งที่เเท้จริงเเล้ว สิ่งที่อยู่ในทีวี หรือเเม้เเต่สื่อเอง ก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ ดังเช่น เนื้อเพลงของเกมนี้ ที่กล่าวว่า
“ความจริง มิอาจหาได้ไม่ว่าจะที่ใด ความจริงไม่มีเขียนอยู่ใน หนังสือ เเมคกาซีน หรือเเม้เเต่บนจอทีวี พวกเราต่างดำเนินชีวิตไป โดยผูกผันกับข้อมูลมากมาย มาเถอะ มาปล่อยมือจากรีโมต ไม่รู้เหรอว่ากำลังปล่อยเรื่องเเย่ ๆ เข้าสู่หัว ..ก็พยายามจะหยุดมัน เปลี่ยนช่องหนีไปที่อื่น เเต่ก็เปล่าประโยชน์ ฉันยังถูกมันกลืนกินอยู่ดี ไหลเข้ามาจนเเปปเดียวก็ใกล้เต็มขีดจำกัด”
กล่าวโดยสรุปคือ สำหรับผม เกม Persona 4 นั้นมิใช่เกมอันดาษดื่นที่มอบความสนุกให้กับผู้เล่นเท่านั้น เเต่ตัวเกมยังทำหน้าที่ดั่งกระจกสะท้อนสังคม ที่ทำให้เราเห็นด้านมืดของวงการสื่อ ไม่ว่าจะในเเง่ของความอันตรายของการปรากฏตัวผ่านสื่อ หรือเเม้เเต่เรื่องของจรรยาบรรณของสื่อเอง ดังนั้น คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริง หากผมจะกล่าวว่านี่คือ หนึ่งในเกมที่มีประเด็นลึกซึ้งที่สุดเกมหนึ่งเท่าที่ผมเคยเล่นมา

อ้างอิง : Darling-Wolf, F. (Ed.). (2018). Routledge Handbook of Japanese Media (1st ed.). Routledge.