ทุกปีมีเกมจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์หรือภาพยนตร์ และแทบไม่มีวันไหนเลยที่ไม่มีข่าวเกี่ยวกับดีลดัดแปลงใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ Resident Evil ฉบับรีบูตอีกครั้ง หนังจาก Split Fiction หรือ หนัง Just Cause ที่ประกาศมาตั้งแต่ปี 2011 แล้วก็เพิ่งได้มือเขียนบทและผู้กำกับใหม่อีกครั้ง
มันก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะหนัง Resident Evil ที่ผ่านมา ทำรายได้รวมกันกว่า พันล้านดอลลาร์ The Super Mario Bros. Movie ทำเงินไปกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 และหนัง Sonic ทั้ง 3 ภาค ก็ทำเงินเฉลี่ยราวๆ ครึ่งพันล้านต่อเรื่อง ไม่แปลกที่ Hollywood จะหลงรักวิดีโอเกมในตอนนี้
แต่ คุณ Phil Spencer ซีอีโอของ Microsoft Gaming กลับมองว่า วงการเกมไม่จำเป็นต้องพึ่ง Hollywood เลย

"วงการเกมประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวของมันเอง มันไม่จำเป็นต้องพึ่งช่องทางอื่น" "อย่าทำให้สิ่งนี้กลายเป็นสิ่งที่ ‘ต้องทำ’ จนกลายเป็นว่าทุกแฟรนไชส์ต้องมีทั้งเกม ทั้งหนัง ทั้งซีรีส์ แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นแค่การขายลิขสิทธิ์"
คุณ Phil ให้สัมภาษณ์กับ Variety
แน่นอนว่าเขาพูดแบบนั้นได้ เพราะตอนนี้ หนัง Minecraft ของ Microsoft ก็ทำรายได้ทะลุ 500 ล้านดอลลาร์ ไปแล้ว, มีภาคต่อที่ได้รับไฟเขียวแล้ว และยังมีซีรีส์ Minecraft อีกเรื่องที่กำลังสร้างอยู่กับ Netflix ยังไม่นับ ซีรีส์ Fallout ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และมีซีซั่น 2 อยู่ในขั้นตอนการผลิต Halo เองแม้จะไม่โดนใจนักวิจารณ์ แต่ก็ยังได้ไปต่อถึงซีซั่นที่ 2 บน Paramount Plus และอย่าลืมว่า Microsoft ก็เดินเกมย้อนศรด้วยการสร้างเกมจากหนังกับ Indiana Jones and the Great Circle เช่นกัน
แม้คุณ Phil จะบอกว่าเกมไม่จำเป็นต้องกลายเป็นหนังหรือซีรีส์ แต่เขาก็แอบบอกใบ้ว่า Microsoft ยังมีแผนดัดแปลงแฟรนไชส์เกมเพิ่มอีก ถึงแม้จะยังไม่เผยรายละเอียดก็ตาม
“เรามีบทเรียนจากการทำ Halo เรามีบทเรียนจากการทำ Fallout โปรเจกต์เหล่านี้ต่อยอดกันไปเรื่อย ๆ และแน่นอนว่าเราจะมีบางเรื่องที่พลาดบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา” “แต่สิ่งที่อยากบอกกับแฟน ๆ ที่ชอบผลงานแบบนี้ก็คือ คุณจะได้เห็นอีก เพราะเรามั่นใจขึ้น และเรียนรู้มากขึ้นจากสิ่งที่เราทำ”
ที่มา pcgamer